นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำหรับสลากดิจิทัลวงเงิน 30,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี จำหน่ายราคาหน่วยละ 50 บาท ที่เปิดขายเมื่อมิ.ย. 2559 ขณะนี้ยังมีลูกค้าเข้ามาซื้อต่อเนื่อง ซึ่งสลากดังกล่าวให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่สูง 2% ต่อปี ทำให้ปัจจุบันมียอดจำหน่ายไปแล้วประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท โดยเหลืออีกประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะจำหน่ายหมดภายใน 2 เดือน สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มาซื้อสลากดิจิทัลส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากเป็นช่องทางที่สะดวกการซื้อสลากออมสินแบบทั่วไปผ่านทางสาขาของธนาคาร
“ส่วนอัตราดอกเบี้ยสลากออมสินทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 1.87% ต่อปี ขณะที่สลากดิจิทัลอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของสลากดิจิทัลสูงกว่าสลากออมสินทั่วไป เนื่องจากเราต้องการจูงใจให้ลูกค้าหันมาซื้อสลากดิจิทัลมากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่สามารถทำรายการฝาก ถอน ตรวจสอบข้อมูล และสอบถามยอดคงเหลือ สลากดิจิทัลได้ด้วยตนเองทุกวันตามต้องการผ่านบริการ MyMo โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถทราบผลการถูกรางวัลรวมของสลากแต่ละฉบับได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ช่วยประหยัดต้นทุนในการออกใบสลากผ่านการให้บริการของสาขาธนาคาร ซึ่งเราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 10 กว่าบาทต่อสาขา” นายชาติชายกล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่เปิดขายสลากดิจิทัลจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2561 มีรายการฝากสลากดิจิทัล (Digital Salak) สะสมจำนวน 506,021 รายการ จำนวนเงินฝากประมาณ 25,000 ล้านบาท โดยมีลูกค้ามาลงทะเบียนสลากดิจิทัลจำนวน 162,071 ทะเบียน
ส่วนโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสลากออมสินในระยะต่อไป นายชาติชาย กล่าวว่า ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาธนาคารออมสิน จะเป็นธนาคารแรกที่นำร่องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ในส่วนของสลากออมสินจะขึ้นอยู่กับแต่ละงวดของสลาก หากงวดนั้น ๆ เป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ก็จะต้องปรับขึ้นเพราะเป็นไปตามกลไกตลาด
สำหรับกลุ่มลูกค้าเดิมที่ยังชอบการซื้อสลากออมสินแบบทั่วไปผ่านสาขาธนาคาร ก็ยังมีความต้องการซื้ออยู่เหมือนเดิม เนื่องจากเห็นว่าการซื้อสลากออมสินแบบทั่วไปสามารถเก็บไว้ได้