ท็อป 50 เศรษฐีไทย สะท้อนภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ท็อป 50 เศรษฐีไทย สะท้อนภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย”


ท็อป 50 เศรษฐีไทย สะท้อนภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย”

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส นำเสนอบทความจากการจัดอันดับเศรษฐี 50 รายแรกโดยฟอร์บส ดังนี้
1.ปี 2561 อันดับหนึ่ง “ครอบครัวเจียรวนนท์” มูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์หรือ 939,600 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของงบประมาณแผ่นดินไทย และเปรียบเทียบเป็น 1 ใน 4 ของคนรวยอันดับหนึ่งในโลกคือ “เจฟ บีซอส” แห่งอเมซอน
โดยที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทย 16 เท่าในขณะที่เศรษฐีไทยมีความรวยขนาด 1 ใน 4 ของคนรวยอันดับหนึ่งของโลกที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา จึงถือว่า “ไม่ธรรมดา”
2. ทรัพย์สินของครอบครัวทั่วประเทศตามการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2560 เป็นเงิน 36,540,927 ล้านบาท จาก 25,723,807 ครัวเรือน เฉลี่ย 1 ครัวเรือนมีทรัพย์สิน 1,420,510 บาท
แสดงว่าทรัพย์สินของตระกูลเจียรวนนท์เท่ากับทรัพย์สินของครัวเรือนไทยโดยเฉลี่ยจำนวน 661,453 ครัวเรือน หรือมีสัดส่วน 3% ของครอบครัวไทยทั้งหมด
3.เศรษฐีไทย 50 อันดับแรกมีสินทรัพย์รวมกัน 5,092,319 ล้านบาท มากกว่างบประมาณแผ่นดินไทยปีละ 3 ล้านล้านบาทถึง 70% หรือเกือบเท่าตัว


ทรัพย์สิน 50 อภิมหาเศรษฐีนี้เพิ่มจาก 876,585 ล้านบาทเมื่อ 10 ปีก่อน หรือรวยเพิ่มขึ้น 6 เท่า เฉลี่ยต่อปีรวยขึ้น 19%  เทียบกับรายได้ของประชากรในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เฉพาะกรุงเทพมหานคร ครัวเรือนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น 17% หรือ 1.6% ต่อปี แสดงถึงภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” อย่างชัดเจน
4. ทรัพย์สินเศรษฐีไทย 50 รายแรก มีมูลค่าเท่ากับทรัพย์สินของครัวเรือนไทยรวมกัน 3,584,852 ครัวเรือน หรือมีสัดส่วนรวมกัน 14% ของทรัพย์สินครัวเรือนไทยทั่วประเทศ จึงชี้ชัดถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง
5. ในรอบ 10 ปี (‪2551-2561‬) คนที่รวยเร็วที่สุดก็คือนายวิชัย ศรีวัฒนประภา (เจ้าของคิงเพาเวอร์ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ 27 ตุลาคม 2561) โดยทรัพย์สินเพิ่มจาก 5,951 ล้านบาท เป็น 162,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 เท่าตัว หรือมีความมั่งคั่งเพิ่มเฉลี่ยปีละ 39% โดยก่อนเสียชีวิตถือเป็นคนรวยอันดับที่ 5 ของประเทศไทย
6. สำหรับ 5 อันดับแรก ได้แก่ ครอบครัวเจียรวนนท์ จิราธิวัฒน์ อยู่วิทยา นายเจริญ สิริวัฒนภักดี และนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เป็นธุรกิจด้านอาหาร ศูนย์การค้า เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำเมา และร้านค้าปลอดภาษี
7. ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจสื่อสารมวลชน อันได้แก่ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ส่วนมากมีความมั่งคั่งลดลงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยลดลง 3% ต่อปี หรือความมั่งคั่งลดลง 1 ใน 4 ในรอบ 10 ปี
8.ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายได้ต่อครัวเรือนทั่วประเทศคือเดือนละ 26,946 บาท หรือปีละ  323,357 บาท โดยที่ครัวเรือนหนึ่งมีทรัพย์สิน 1,420,510 บาท (ตามข้อ 2) แสดงว่ารายได้ต่อปีของครัวเรือนไทยมีสัดส่วนเป็น 23% ของทรัพย์สินที่ครอบครองอยู่
กรณีเปรียบเทียบ เศรษฐีไทย 50 รายแรกที่มีทรัพย์สิน 5,092,319 ล้านบาท อาจสมมติให้รายได้มีสัดส่วน 10% ของทรัพย์สิน เพราะส่วนใหญ่อาจเป็นอสังหาริมทรัพย์หรืออื่นใดที่สะสมไว้นานแล้ว หรือเท่ากับควรมีรายได้ 509,232 ล้านบาท
หากต้องเสียภาษีเพียง 10% (หลังจากหักลดหย่อนแล้ว) ก็ควรจะเก็บภาษีจากเศรษฐีไทย 50 รายแรก อยู่ที่ 50,923 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามในที่นี้ไม่มีตัวเลขการเสียภาษีจริง แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเก็บได้มากเท่านี้
9.ทรัพย์สินเศรษฐีไทย 50 รายแรก จำนวน 5,092,319 ล้านบาท ถ้ามีการโอนเป็นมรดกให้ลูกหลานปีละ 5% หรือ 254,616 ล้านบาท ถ้าหากเสียภาษี 20% เท่ากับอัตราภาษีในประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด ใน 1 ปีรัฐจะได้ภาษีมรดกเข้าหลวง ทำให้เกิดความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำได้ถึง 50,923 ล้านบาท
เงินจำนวนนี้นำไปสร้าง “สะพานเกียกกาย” ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา (ราคา 13,500 ล้านบาท) ได้เกือบ 4 สะพาน หรือสร้างสะพานถนนจันทน์-เจริญนคร (ราคา 4,000 ล้านบาท) ได้เกือบ 13 สะเพาน
10.บัญชีทำเนียบเศรษฐีไทย 50 รายแรก มี 22 รายไม่ได้มีรายชื่อติดทำเนียบเศรษฐีไทย 40 รายแรกเมื่อ 10 ปีก่อน แสดงว่าเพิ่งรวยขึ้นมาไม่นาน
ในทางตรงกันข้าม อภิมหาเศรษฐีเมื่อ 10 ปีก่อน ก็หายหน้าหายตาไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ดร.โสภณสรุปตอนท้ายว่า การเป็นเศรษฐีนั้นยาก การเป็นอภิมหาเศรษฐีนั้นยิ่งยากใหญ่ การจะรักษาความเป็นเศรษฐียิ่งยากขึ้นไปอีก
ยิ่งถ้าจะให้เป็นเศรษฐีที่มีที่ยืนในประวัติศาสตร์ ยิ่งยากอย่างเป็นที่สุด หากไม่ทำความดีอย่างยิ่งใหญ่สุดตัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad