กระทรวงเกษตรฯ แถลงใหญ่ “มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563” เน้นทำงานเชิงรุก แก้ปัญหาปากท้องเกษตรกรครบทุกมิติ
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงข่าว "มอบของขวัญปีใหม่ การขับเคลื่อนภาคการเกษตร ปี 2563" ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเพื่อขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยไปสู่อนาคตอย่างมั่นคง และยั่งยืน โดยยึดหลักบูรณาการการทำงานร่วมกัน และดำเนินการเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องเกษตรกรอย่างเร่งด่วน รวมถึงการเตรียมมาตรการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นและอาจส่งผลกระทบกับเกษตรกรและประชาชนโดยตรง ซึ่งในวันนี้ กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขับเคลื่อนนโยบายและแผนงานที่สำคัญในปี 2563 ประกอบด้วย
1. การบริหารจัดการแหล่งน้ำทั้งระบบ
- ก่อสร้างแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็กและแก้มลิง โดยจะดำเนินการในปี 2563 รวมทั้งสิ้น 421 โครงการ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทั้งโครงการจะเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 1,232,121 ไร่ และปริมาตรเก็บกัก 942.00 ล้าน ลบ.ม. สำหรับในปี 2563 โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จจะได้พื้นที่ชลประทาน 176,968 ไร่ และปริมาตรน้ำเก็บกัก 199.54 ล้าน ลบ.ม.
- ปัจจุบันสภาพฝนมีความผันแปรสูงมาก ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำท่าและน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2562 ในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ มีการใช้น้ำเกินแผนที่ได้จัดสรรไว้ ทำให้เกิดปัญหาการรุกล้ำของน้ำเค็ม ส่งผลต่อระบบนิเวศและคุณภาพน้ำด้าน การเกษตรกรรม – อุปโภคบริโภค จึงมีแผนการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองมาลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างในฤดูแล้ง ปี 2562/2563 จำนวน 850 ล้าน ลบ.ม. สำหรับในอนาคตจะพิจารณาผันน้ำมาสนับสนุนลุ่มน้ำเจ้าพระยา
- ปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกพืช ป่าไม้ และเพิ่มน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ โดยมีศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำภาคทั้ง 5 ศูนย์ และได้ดำเนินการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว เพื่อติดตาม เฝ้าระวังสภาพอากาศ และสามารถปฏิบัติการฝนหลวงได้เมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวยในการช่วยเหลือพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม การเติมน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ รวมทั้งการบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า และจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 11 - 13 หน่วยปฏิบัติการ เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงให้ครอบคลุม 25 ลุ่มน้ำหลักในพื้นที่ 77 จังหวัด ซึ่งจะมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 230 ล้านไร่
- การบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง โดยกรมชลประทาน ได้วางแผนการจัดสรรน้ำทั้งประเทศในช่วงฤดูแล้งปี 2562/63 ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 - 30 เมษายน 2563 จำนวน 17,699 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น อุปโภค-บริโภค 2,300 ล้าน ลบ.ม. รักษาระบบนิเวศและอื่น ๆ 7,006 ล้าน ลบ.ม. สำรองน้ำต้นฤดูฝนปี 2563 (พ.ค.-ก.ค. 63) รวม 10,540 ล้านลูกบาศก์เมตร เกษตรฤดูแล้งปี 2562/63 7,874 ล้าน ลบ.ม. อุตสาหกรรม 519 ล้าน ลบ.ม. รวมถึงได้ทำการประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรรับทราบ สถานการณ์น้ำต้นทุน แนวทางการบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก มาเป็นการปลูกพืชใช้น้ำน้อยให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 22 จังหวัด ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา
- ขุดสระน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน ขนาด 1,260 ลบ.ม.ให้เกษตรกรที่ขอรับการสนับสนุนทั่วประเทศ จำนวน 40,000 บ่อ เพื่อกักเก็บน้ำ บรรเทาและชะลอความแห้งแล้ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดินในฤดูฝนทิ้งช่วงหรือฤดูแล้งในระดับไร่นา ให้เกษตรกรสามารถมีน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง สำหรับปลูกพืชผักแบบผสมผสานเลี้ยงปลา ตกกล้า ซึ่งเป็นการทำการเกษตรแบบใช้น้ำน้อย
1. การบริหารจัดการแหล่งน้ำทั้งระบบ
- ก่อสร้างแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็กและแก้มลิง โดยจะดำเนินการในปี 2563 รวมทั้งสิ้น 421 โครงการ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทั้งโครงการจะเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 1,232,121 ไร่ และปริมาตรเก็บกัก 942.00 ล้าน ลบ.ม. สำหรับในปี 2563 โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จจะได้พื้นที่ชลประทาน 176,968 ไร่ และปริมาตรน้ำเก็บกัก 199.54 ล้าน ลบ.ม.
- ปัจจุบันสภาพฝนมีความผันแปรสูงมาก ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำท่าและน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2562 ในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ มีการใช้น้ำเกินแผนที่ได้จัดสรรไว้ ทำให้เกิดปัญหาการรุกล้ำของน้ำเค็ม ส่งผลต่อระบบนิเวศและคุณภาพน้ำด้าน การเกษตรกรรม – อุปโภคบริโภค จึงมีแผนการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองมาลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างในฤดูแล้ง ปี 2562/2563 จำนวน 850 ล้าน ลบ.ม. สำหรับในอนาคตจะพิจารณาผันน้ำมาสนับสนุนลุ่มน้ำเจ้าพระยา
- ปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกพืช ป่าไม้ และเพิ่มน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ โดยมีศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำภาคทั้ง 5 ศูนย์ และได้ดำเนินการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว เพื่อติดตาม เฝ้าระวังสภาพอากาศ และสามารถปฏิบัติการฝนหลวงได้เมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวยในการช่วยเหลือพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค เกษตรกรรม การเติมน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ รวมทั้งการบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า และจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 11 - 13 หน่วยปฏิบัติการ เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงให้ครอบคลุม 25 ลุ่มน้ำหลักในพื้นที่ 77 จังหวัด ซึ่งจะมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 230 ล้านไร่
- การบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง โดยกรมชลประทาน ได้วางแผนการจัดสรรน้ำทั้งประเทศในช่วงฤดูแล้งปี 2562/63 ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 - 30 เมษายน 2563 จำนวน 17,699 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น อุปโภค-บริโภค 2,300 ล้าน ลบ.ม. รักษาระบบนิเวศและอื่น ๆ 7,006 ล้าน ลบ.ม. สำรองน้ำต้นฤดูฝนปี 2563 (พ.ค.-ก.ค. 63) รวม 10,540 ล้านลูกบาศก์เมตร เกษตรฤดูแล้งปี 2562/63 7,874 ล้าน ลบ.ม. อุตสาหกรรม 519 ล้าน ลบ.ม. รวมถึงได้ทำการประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรรับทราบ สถานการณ์น้ำต้นทุน แนวทางการบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก มาเป็นการปลูกพืชใช้น้ำน้อยให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 22 จังหวัด ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา
- ขุดสระน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน ขนาด 1,260 ลบ.ม.ให้เกษตรกรที่ขอรับการสนับสนุนทั่วประเทศ จำนวน 40,000 บ่อ เพื่อกักเก็บน้ำ บรรเทาและชะลอความแห้งแล้ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดินในฤดูฝนทิ้งช่วงหรือฤดูแล้งในระดับไร่นา ให้เกษตรกรสามารถมีน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง สำหรับปลูกพืชผักแบบผสมผสานเลี้ยงปลา ตกกล้า ซึ่งเป็นการทำการเกษตรแบบใช้น้ำน้อย
2. ส่งเสริมการเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์
- ส่งเสริมเกษตรยั่งยืนด้วยศาสตร์พระราชา
- ส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ 354,614 ราย เกษตรกรรมทางเลือก/เกษตรผสมผสาน 16,110 ราย ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการเกษตร 44,780 ราย
- ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์
- การผลิตพืชในระบบเกษตรปลอดภัย หรือเกษตรอินทรีย์ สนับสนุนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ได้แก่ การใช้พืชปุ๋ยสด ชนิดต่าง ๆ อาทิ ปอเทือง ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม มะแฮะ ส่งเสริมการทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ รวมทั้งใช้จุลินทรีย์เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช โดยปี 2563 มีเป้าหมายสนับสนุนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ 3 ระดับ ดังนี้ กลุ่มเตรียมความพร้อม สนับสนุนปัจจัยการปรับปรุงดิน และกระบวนการรับรองมาตรฐานแบบมีส่วนร่วม (PGS) 1,575 ราย พื้นที่ 15,750 ไร่
- จัดทำแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2560-2565 โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ พร้อมทั้งผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ไปใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านไร่ และเพิ่มจำนวนเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 80,000 ราย ภายในปี 2565
- การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตทั้งพืช ปศุสัตว์ และประมง จำนวน 481,000 ไร่ และอบรมให้ความรู้การผลิตเกษตรอินทรีย์ด้านพืช ประมง หม่อนไหม บัญชี และการใช้ชีวินทรีย์ รวม 10,550 ราย ตรวจรับรองแปลงพืชอินทรีย์ 3,200 ฟาร์ม โรงงานแปรรูป/คัดบรรจุ/โรงรม จำหน่ายพืชอินทรีย์ 80 ฟาร์ม พร้อมรับรองสถานที่จำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ 2 แห่ง
- ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์แบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยยึดพื้นที่เป็นหลัก (Area base) เช่น(1) พื้นที่ใกล้โรงเรียน (2) พื้นที่ใกล้โรงแรม (3) พื้นที่ใกล้โรงพยาบาล จัดทำโครงการ "โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย"จำนวน 896 แห่ง ทั่วประเทศ โดยสนับสนุนการจัดซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์ เพื่อทำอาหารปลอดภัยให้กับผู้ป่วย และจัดให้มีการจำหน่ายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ในโรงพยาบาล
- สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและการตัดสินใจเลือกซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์
- ส่งเสริมเกษตรปลอดภัย
- ตรวจสอบปัจจัยการผลิต/ศัตรูพืช การออกใบรับรอง และควบคุมกำกับดูแล พ.ร.บ. โดยตรวจสอบปัจจัยการผลิต/สินค้าพืช/ผลิตภัณฑ์ผลผลิตทางการเกษตร 150,000 ตัวอย่าง ออกใบรับรองสุขอนามัย (ปลอดศัตรูพืช) 300,000 ฉบับ ใบรับรองสุขอนามัยพืช/สารพิษตกค้าง/สารปนเปื้อน 63,000 ฉบับ ใบอนุญาตตามกฎหมาย 100,000 ฉบับ และตรวจสอบร้านค้า/สินค้าเกษตร 52,000 ราย
- กำหนดและจัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร โดยการกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร 15 เรื่อง การพัฒนาระบบสารสนเทศ 3 ระบบ การรับรองและตรวจติดตามหน่วยงานตรวจสอบรับรองตามมาตรฐานสากล 24 หน่วย-ขอบข่าย การกำกับ ดูแลและควบคุมมาตรฐานสินค้าเกษตร 3 กลุ่มสินค้า และการประชุมเจรจาเพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร 20 ครั้ง
- มาตรการลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ผ่านการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมี
โดยจัดทำอินโฟกราฟิกและคลิปวีดีโอ เรื่อง การใช้สารเคมีทางการเกษตรตามความจำเป็น และการใช้วิธีการกำจัดวัชพืชและป้องกันกำจัดโรคพืชโดยวิธีอื่น เช่น เครื่องจักรกลเกษตรและสารชีวภัณฑ์ การให้ความรู้กับเกษตรกรผ่านเวทีโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ สนับสนุนปัจจัยการผลิตเกี่ยวกับสารอินทรีย์ต่าง ๆ ได้แก่ สนับสนุนการใช้ปุ๋ยพืชสดในการปรับปรุงบำรุงดิน ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยหมัก พด. ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง และมาตรการพัฒนาระบบปลูกพืชและเขตกรรมที่เหมาะสม
- การพัฒนาสารชีวภัณฑ์และฮอร์โมนพืช ด้านควบคุมพืช ด้านรักษาสิ่งแวดล้อม
โดยในปี 2563 มีการผลิตสารเร่งจุลินทรีย์ พด. 6,733,500 ซอง รวมถึงสร้างศูนย์บ่มเพาะในส่วนราชการและกลุ่มเกษตรกรให้เป็นศูนย์เรียนรู้และกระจายชีวภัณฑ์ เพื่อสนับสนุนและให้บริการในด้านวิชาการและผลิตชีวภัณฑ์ใช้เอง พร้อมถ่ายทอดชีวภัณฑ์ใช้ในการกำจัดศัตรูพืช 17 ชนิด อาทิ เชื้อราไตรโคเดอร์มา แบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิลิส (Bs) เหยื่อโปรโตซัวกำจัดหนู ไส้เดือนฝอยศัตรูแมลง
- ดำเนินมาตรการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรแทนแรงงานเกษตร
สร้างช่างเกษตรท้องถิ่น ด้วยการร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านพัฒนาฝีมือแรงงานและภาคเอกชน ในการสนับสนุนให้เกษตรกรได้พัฒนาทักษะและเทคนิคการซ่อมแซมเครื่องยนต์เกษตร 4,700 ราย
- ส่งเสริมเกษตรยั่งยืนด้วยศาสตร์พระราชา
- ส่งเสริมเกษตรทฤษฎีใหม่ 354,614 ราย เกษตรกรรมทางเลือก/เกษตรผสมผสาน 16,110 ราย ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการเกษตร 44,780 ราย
- ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์
- การผลิตพืชในระบบเกษตรปลอดภัย หรือเกษตรอินทรีย์ สนับสนุนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ได้แก่ การใช้พืชปุ๋ยสด ชนิดต่าง ๆ อาทิ ปอเทือง ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม มะแฮะ ส่งเสริมการทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ รวมทั้งใช้จุลินทรีย์เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช โดยปี 2563 มีเป้าหมายสนับสนุนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ 3 ระดับ ดังนี้ กลุ่มเตรียมความพร้อม สนับสนุนปัจจัยการปรับปรุงดิน และกระบวนการรับรองมาตรฐานแบบมีส่วนร่วม (PGS) 1,575 ราย พื้นที่ 15,750 ไร่
- จัดทำแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2560-2565 โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ พร้อมทั้งผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ไปใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ ไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านไร่ และเพิ่มจำนวนเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 80,000 ราย ภายในปี 2565
- การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตทั้งพืช ปศุสัตว์ และประมง จำนวน 481,000 ไร่ และอบรมให้ความรู้การผลิตเกษตรอินทรีย์ด้านพืช ประมง หม่อนไหม บัญชี และการใช้ชีวินทรีย์ รวม 10,550 ราย ตรวจรับรองแปลงพืชอินทรีย์ 3,200 ฟาร์ม โรงงานแปรรูป/คัดบรรจุ/โรงรม จำหน่ายพืชอินทรีย์ 80 ฟาร์ม พร้อมรับรองสถานที่จำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ 2 แห่ง
- ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์แบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยยึดพื้นที่เป็นหลัก (Area base) เช่น(1) พื้นที่ใกล้โรงเรียน (2) พื้นที่ใกล้โรงแรม (3) พื้นที่ใกล้โรงพยาบาล จัดทำโครงการ "โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย"จำนวน 896 แห่ง ทั่วประเทศ โดยสนับสนุนการจัดซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์ เพื่อทำอาหารปลอดภัยให้กับผู้ป่วย และจัดให้มีการจำหน่ายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ในโรงพยาบาล
- สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและการตัดสินใจเลือกซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์
- ส่งเสริมเกษตรปลอดภัย
- ตรวจสอบปัจจัยการผลิต/ศัตรูพืช การออกใบรับรอง และควบคุมกำกับดูแล พ.ร.บ. โดยตรวจสอบปัจจัยการผลิต/สินค้าพืช/ผลิตภัณฑ์ผลผลิตทางการเกษตร 150,000 ตัวอย่าง ออกใบรับรองสุขอนามัย (ปลอดศัตรูพืช) 300,000 ฉบับ ใบรับรองสุขอนามัยพืช/สารพิษตกค้าง/สารปนเปื้อน 63,000 ฉบับ ใบอนุญาตตามกฎหมาย 100,000 ฉบับ และตรวจสอบร้านค้า/สินค้าเกษตร 52,000 ราย
- กำหนดและจัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร โดยการกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร 15 เรื่อง การพัฒนาระบบสารสนเทศ 3 ระบบ การรับรองและตรวจติดตามหน่วยงานตรวจสอบรับรองตามมาตรฐานสากล 24 หน่วย-ขอบข่าย การกำกับ ดูแลและควบคุมมาตรฐานสินค้าเกษตร 3 กลุ่มสินค้า และการประชุมเจรจาเพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร 20 ครั้ง
- มาตรการลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ผ่านการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับรู้เกี่ยวกับการใช้สารเคมี
โดยจัดทำอินโฟกราฟิกและคลิปวีดีโอ เรื่อง การใช้สารเคมีทางการเกษตรตามความจำเป็น และการใช้วิธีการกำจัดวัชพืชและป้องกันกำจัดโรคพืชโดยวิธีอื่น เช่น เครื่องจักรกลเกษตรและสารชีวภัณฑ์ การให้ความรู้กับเกษตรกรผ่านเวทีโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ สนับสนุนปัจจัยการผลิตเกี่ยวกับสารอินทรีย์ต่าง ๆ ได้แก่ สนับสนุนการใช้ปุ๋ยพืชสดในการปรับปรุงบำรุงดิน ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยหมัก พด. ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง และมาตรการพัฒนาระบบปลูกพืชและเขตกรรมที่เหมาะสม
- การพัฒนาสารชีวภัณฑ์และฮอร์โมนพืช ด้านควบคุมพืช ด้านรักษาสิ่งแวดล้อม
โดยในปี 2563 มีการผลิตสารเร่งจุลินทรีย์ พด. 6,733,500 ซอง รวมถึงสร้างศูนย์บ่มเพาะในส่วนราชการและกลุ่มเกษตรกรให้เป็นศูนย์เรียนรู้และกระจายชีวภัณฑ์ เพื่อสนับสนุนและให้บริการในด้านวิชาการและผลิตชีวภัณฑ์ใช้เอง พร้อมถ่ายทอดชีวภัณฑ์ใช้ในการกำจัดศัตรูพืช 17 ชนิด อาทิ เชื้อราไตรโคเดอร์มา แบคทีเรียบาซิลลัส ซับทิลิส (Bs) เหยื่อโปรโตซัวกำจัดหนู ไส้เดือนฝอยศัตรูแมลง
- ดำเนินมาตรการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรแทนแรงงานเกษตร
สร้างช่างเกษตรท้องถิ่น ด้วยการร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านพัฒนาฝีมือแรงงานและภาคเอกชน ในการสนับสนุนให้เกษตรกรได้พัฒนาทักษะและเทคนิคการซ่อมแซมเครื่องยนต์เกษตร 4,700 ราย
3. ใช้ระบบตลาดนำการผลิต เพื่อแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ/ล้นตลาด
- ขยายช่องทางตลาดเกษตรกร /จัดหาตลาดใหม่เพิ่ม
- โดยการเข้าร่วมกิจกรรม/งานเทศกาลยังต่างประเทศ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรคุณภาพมาตรฐานของไทย ร่วมมือกับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด (ชสท.) ส่งเสริมให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพ นำผลิตภัณฑ์สินค้าจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ ภายใต้ชื่อ "Co-op click" รวมถึง นโยบายขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรฯ สู่ไทยแลนด์ 4.0 และเกษตร 4.0 ในการเพิ่มช่องทางและโอกาสทางการตลาดที่สำคัญตามแนวทางนโยบายตลาดนำการเกษตร เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถซื้อขายสินค้าเกษตรออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ DGTFarm หรือ ดิจิตอลฟาร์ม ผ่านทาง www.dgtfarm.com และ อตก. เดลิเวอรี่ ผ่านทาง www.ortorkor.com
- เปิดตลาดการค้าสัตว์ปีกในสาธารณรัฐประชาชนจีน ภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มนอกเหนือจากสหรัฐอาหรับอามิเรต และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะสหภาพยุโรปคาดว่าปริมาณการส่งออกสัตว์ปีกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1 โดยส่งออกเนื้อไก่ จำนวน 970,770 ตัน มูลค่า 116,589 ล้านบาท
- สร้างตลาดออนไลน์โดยร่วมมือกับ LAZADA Thailand (Kick off ม.ค. 63)
กระทรวงเกษตรฯ ขยายความร่วมมือสู่แพลตฟอร์มลาซาด้า ผู้นำอีคอมเมิร์ชในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีการหารือกับทีมบริหารงานผู้ขายลาซาด้าเพื่อสร้างโอกาสร่วมกันให้กับสินค้าเกษตรและเกษตรกรไทยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี พัฒนาความรู้แบบยั่งยืนโดย สามารถเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มลาซาด้า เพื่อนำสินค้าเกษตรเข้าสู่ช่องทางออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากจะช่วยในเรื่องการเพิ่มช่องทางการตลาด ให้เกษตรกรได้กระจายผลผลิตในช่วงผลผลิตออกตลาดมากแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรขยายฐานกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างไม่จำกัด สามารถทำความรู้จักกับกลุ่มลูกค้าของตัวเอง ทำการซื้อขายกับผู้ซื้อ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาสินค้าเกษตรที่ตรงกับความต้องการของตลาด ลดความเหลื่อมล้ำ และยังสามารถนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ดี จากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งในเบื้องต้นจะเน้นจัดกิจกรรมอบรมทักษะให้แก่กลุ่มเกษตรกรในระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตรและกลุ่มYoung Smart Farmer
- พัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง Smart Farmer
พัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง โดยสร้างและพัฒนาเกษตรกรให้มีศักยภาพในการประกอบอาชีพด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ ด้านการผลิต การแปรรูปและการตลาด รวมถึงได้รับการพัฒนาสู่การเป็นผู้ผลิต ผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม นำไปสู่การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันพร้อมสู่ การเป็นผู้ประกอบการด้านเกษตร รวมทั้งสิ้น 84,312 ราย
- เสริมสร้างความเข้มแข็งวิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์
- พัฒนาวิสาหกิจสู่ความเป็นมืออาชีพ 444 แห่ง ด้วยการสอนแนะการจัดทำบัญชีแก่วิสาหกิจชุมชน การจัดทำงบการเงิน การใช้ข้อมูลทางบัญชีในการบริหารจัดการ กำกับแนะนำการจัดทำบัญชี และติดตามผลการจัดทำบัญชี
- พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและบริการ 154 แห่ง ด้วยการส่งเสริมกิจการวิสาหกิจชุมชนและสนับสนุนความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม คุณภาพมาตรฐานการผลิตและผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการธุรกิจ และการแข่งขันทางการตลาด เพื่อให้กิจการวิสาหกิจชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้
- ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการ ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการของผู้ประกอบการให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน และเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อนำไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด
- พัฒนาระบบสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร โดยส่งเสริมแนะนำการบริหารจัดการการวางแผนการดำเนินงานดำเนินธุรกิจ ส่งเสริมหลักการอุดมการณ์ วิธีการสหกรณ์ และกำกับควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งและกฎหมาย 12,958 แห่ง
- บริหารจัดการด้านการเงินการบัญชีให้มีคุณภาพ โดยการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของสหกรณ์และสถาบันเกษตรกร ด้วยการตรวจสอบบัญชีประจำปีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 11,800 แห่ง ตรวจสอบความถูกต้องในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างสหกรณ์และสมาชิก 24,500 ราย ฝึกอบรมเศรษฐกิจการเงินขั้นพื้นฐานแก่สมาชิกสหกรณ์ 10,000 ราย พัฒนาศักยภาพด้านการบัญชีแก่สมาชิกสหกรณ์และประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 24,000 ราย พัฒนามาตรฐานการบัญชีแก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 500 แห่ง และพัฒนาศักยภาพสหกรณ์ตั้งใหม่ 100 แห่ง
- ส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร
- พัฒนาศักยภาพการแปรรูปข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าว การแปรรูปสัตว์น้ำ พร้อมทั้งพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าและเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อนำไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด
- ขยายช่องทางตลาดเกษตรกร /จัดหาตลาดใหม่เพิ่ม
- โดยการเข้าร่วมกิจกรรม/งานเทศกาลยังต่างประเทศ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรคุณภาพมาตรฐานของไทย ร่วมมือกับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด (ชสท.) ส่งเสริมให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพ นำผลิตภัณฑ์สินค้าจำหน่ายผ่านตลาดออนไลน์ ภายใต้ชื่อ "Co-op click" รวมถึง นโยบายขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรฯ สู่ไทยแลนด์ 4.0 และเกษตร 4.0 ในการเพิ่มช่องทางและโอกาสทางการตลาดที่สำคัญตามแนวทางนโยบายตลาดนำการเกษตร เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถซื้อขายสินค้าเกษตรออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ DGTFarm หรือ ดิจิตอลฟาร์ม ผ่านทาง www.dgtfarm.com และ อตก. เดลิเวอรี่ ผ่านทาง www.ortorkor.com
- เปิดตลาดการค้าสัตว์ปีกในสาธารณรัฐประชาชนจีน ภูมิภาคตะวันออกกลางเพิ่มนอกเหนือจากสหรัฐอาหรับอามิเรต และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะสหภาพยุโรปคาดว่าปริมาณการส่งออกสัตว์ปีกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 1 โดยส่งออกเนื้อไก่ จำนวน 970,770 ตัน มูลค่า 116,589 ล้านบาท
- สร้างตลาดออนไลน์โดยร่วมมือกับ LAZADA Thailand (Kick off ม.ค. 63)
กระทรวงเกษตรฯ ขยายความร่วมมือสู่แพลตฟอร์มลาซาด้า ผู้นำอีคอมเมิร์ชในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีการหารือกับทีมบริหารงานผู้ขายลาซาด้าเพื่อสร้างโอกาสร่วมกันให้กับสินค้าเกษตรและเกษตรกรไทยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี พัฒนาความรู้แบบยั่งยืนโดย สามารถเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มลาซาด้า เพื่อนำสินค้าเกษตรเข้าสู่ช่องทางออนไลน์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากจะช่วยในเรื่องการเพิ่มช่องทางการตลาด ให้เกษตรกรได้กระจายผลผลิตในช่วงผลผลิตออกตลาดมากแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรขยายฐานกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างไม่จำกัด สามารถทำความรู้จักกับกลุ่มลูกค้าของตัวเอง ทำการซื้อขายกับผู้ซื้อ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาสินค้าเกษตรที่ตรงกับความต้องการของตลาด ลดความเหลื่อมล้ำ และยังสามารถนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ดี จากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งในเบื้องต้นจะเน้นจัดกิจกรรมอบรมทักษะให้แก่กลุ่มเกษตรกรในระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตรและกลุ่มYoung Smart Farmer
- พัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง Smart Farmer
พัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง โดยสร้างและพัฒนาเกษตรกรให้มีศักยภาพในการประกอบอาชีพด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ ด้านการผลิต การแปรรูปและการตลาด รวมถึงได้รับการพัฒนาสู่การเป็นผู้ผลิต ผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม นำไปสู่การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันพร้อมสู่ การเป็นผู้ประกอบการด้านเกษตร รวมทั้งสิ้น 84,312 ราย
- เสริมสร้างความเข้มแข็งวิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์
- พัฒนาวิสาหกิจสู่ความเป็นมืออาชีพ 444 แห่ง ด้วยการสอนแนะการจัดทำบัญชีแก่วิสาหกิจชุมชน การจัดทำงบการเงิน การใช้ข้อมูลทางบัญชีในการบริหารจัดการ กำกับแนะนำการจัดทำบัญชี และติดตามผลการจัดทำบัญชี
- พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและบริการ 154 แห่ง ด้วยการส่งเสริมกิจการวิสาหกิจชุมชนและสนับสนุนความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม คุณภาพมาตรฐานการผลิตและผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการธุรกิจ และการแข่งขันทางการตลาด เพื่อให้กิจการวิสาหกิจชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้
- ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการ ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการของผู้ประกอบการให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน และเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อนำไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด
- พัฒนาระบบสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร โดยส่งเสริมแนะนำการบริหารจัดการการวางแผนการดำเนินงานดำเนินธุรกิจ ส่งเสริมหลักการอุดมการณ์ วิธีการสหกรณ์ และกำกับควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งและกฎหมาย 12,958 แห่ง
- บริหารจัดการด้านการเงินการบัญชีให้มีคุณภาพ โดยการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของสหกรณ์และสถาบันเกษตรกร ด้วยการตรวจสอบบัญชีประจำปีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 11,800 แห่ง ตรวจสอบความถูกต้องในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างสหกรณ์และสมาชิก 24,500 ราย ฝึกอบรมเศรษฐกิจการเงินขั้นพื้นฐานแก่สมาชิกสหกรณ์ 10,000 ราย พัฒนาศักยภาพด้านการบัญชีแก่สมาชิกสหกรณ์และประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 24,000 ราย พัฒนามาตรฐานการบัญชีแก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 500 แห่ง และพัฒนาศักยภาพสหกรณ์ตั้งใหม่ 100 แห่ง
- ส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร
- พัฒนาศักยภาพการแปรรูปข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าว การแปรรูปสัตว์น้ำ พร้อมทั้งพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าและเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเพื่อนำไปสู่การขยายโอกาสทางการตลาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น