กรมการค้าภายในหารือผู้ส่งออกหน้ากากอนามัย 50 ราย ขอผ่อนผันส่งออกสเปกต์พิเศษที่คนทั่วไปไม่ได้ใช้ อย่างหน้ากากผ่าตัด ป้องกันสารพิษ เตรียมเสนอ “จุรินทร์”เคาะ พร้อมเงื่อนไข หากให้ส่งออกสเปกต์พิเศษ ต้องผลิตแบบธรรมดาให้เท่ากับที่ส่งออกเพื่อขายในประเทศ ส่วนการบริจาค ต้องแบ่งครึ่งหนึ่งไว้ใช้ในประเทศ เผยแค่ 4 วัน ขอส่งออกรวม 21 ล้านชิ้น ยังไม่ได้ให้ใครส่งออก ขีดเส้น 14 ก.พ.นี้ ต้องแจ้งสต๊อก ใครไม่แจ้งเจอเอาผิดตามกฎหมาย
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับผู้ส่งออกหน้ากากอนามัย ประมาณ 50 ราย และผู้เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) องค์การเภสัชกรรม กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาในประเด็นการส่งออกหน้ากากอนามัย ว่า ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.2563 ซึ่งเป็นวันที่กำหนดให้การส่งออกหน้ากากอนามัยตั้งแต่ 500 ชิ้นขึ้นไป ต้องขออนุญาตจากกรมฯ ก่อน จนถึงวันที่ 12 ก.พ.2563 มีผู้มาขออนุญาตรวม 21 ล้านชิ้น แต่กรมฯ ยังไม่อนุญาตให้รายใดส่งออกได้ เพราะต้องบริหารจัดการให้ในประเทศมีเพียงพอใช้ก่อน โดยในการหารือ ผู้ส่งออกได้ขอให้กรมฯ ผ่อนผันให้สามารถส่งออกได้ โดยเฉพาะการส่งออกหน้ากากอนามัยชนิดพิเศษ เช่น หน้ากากอนามัยทางการแพทย์สำหรับการผ่าตัด ใช้โรงงานอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันสารเคมี หรือวัตถุมีพิษ เป็นต้น ซึ่งกรมฯ ได้รับที่จะพิจารณาให้ แต่มีเงื่อนไข ผู้ส่งออกและผู้ผลิตจะต้องผลิตหน้ากากอนามัยแบบที่ใช้ป้องกันเชื้อโรคในปริมาณเท่ากับที่ขอส่งออก เพื่อนำมาขายในประเทศ
ส่วนหน้ากากอนามัยที่ขออนุญาตส่งออกเพื่อนำไปบริจาคให้กับประเทศที่มีการแพร่ระบาด เช่น จีน หากจะอนุญาตการส่งออก ผู้ส่งออกจะต้องแบ่งส่วนหนึ่งมาให้กับศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อนำไปจัดสรรภายในประเทศให้กับผู้ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้ เช่น โรงพยาบาล ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยตรง โดยอาจจะขอแบ่งในสัดส่วน 50 ต่อ 50 โดยหากส่งออก 500,000 ชิ้น ต้องจัดสรรให้ศูนย์ 250,000 ชิ้น ส่งออกได้ 250,000 ชิ้น เป็นต้น
“ผู้ผลิตและผู้ส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมดรับที่จะทำตามกติกา เพื่อให้มีของส่งออกไปได้ และมีของใช้เพียงพอในประเทศ โดยผมจะนำข้อเสนอนี้หารือกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก่อนว่าจะเห็นด้วยตามนี้หรือไม่”
ส่วนหน้ากากอนามัยที่จะขอส่งออกทั้ง 21 ล้านชิ้นนั้น พบว่า เกือบจะทั้งหมดเป็นหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา ไม่ใช่สเปกต์พิเศษ โดยขอส่งออกไปจีน 15 ล้านชิ้น ไปสหรัฐฯ 3.6 ล้านชิ้น ที่เหลือไปประเทศอื่นๆ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้อนุญาตให้มีการส่งออกแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ผลิตที่ยังไม่ได้แจ้งสต๊อกให้กับกรมฯ ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ภายในวันที่ 6 ก.พ.2563 ที่ผ่านมานั้น กรมฯ ได้ให้เวลาแจ้งสต๊อกถึงวันที่ 14 ก.พ.2563 เพื่อจะได้รู้ว่าผู้ผลิตมีสต๊อกที่แท้จริงเท่าไร หากไม่แจ้งภายในกำหนด จะมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และยังปรับอีกวันละ 2,000 บาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับผู้ส่งออกหน้ากากอนามัย ประมาณ 50 ราย และผู้เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) องค์การเภสัชกรรม กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาในประเด็นการส่งออกหน้ากากอนามัย ว่า ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.2563 ซึ่งเป็นวันที่กำหนดให้การส่งออกหน้ากากอนามัยตั้งแต่ 500 ชิ้นขึ้นไป ต้องขออนุญาตจากกรมฯ ก่อน จนถึงวันที่ 12 ก.พ.2563 มีผู้มาขออนุญาตรวม 21 ล้านชิ้น แต่กรมฯ ยังไม่อนุญาตให้รายใดส่งออกได้ เพราะต้องบริหารจัดการให้ในประเทศมีเพียงพอใช้ก่อน โดยในการหารือ ผู้ส่งออกได้ขอให้กรมฯ ผ่อนผันให้สามารถส่งออกได้ โดยเฉพาะการส่งออกหน้ากากอนามัยชนิดพิเศษ เช่น หน้ากากอนามัยทางการแพทย์สำหรับการผ่าตัด ใช้โรงงานอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันสารเคมี หรือวัตถุมีพิษ เป็นต้น ซึ่งกรมฯ ได้รับที่จะพิจารณาให้ แต่มีเงื่อนไข ผู้ส่งออกและผู้ผลิตจะต้องผลิตหน้ากากอนามัยแบบที่ใช้ป้องกันเชื้อโรคในปริมาณเท่ากับที่ขอส่งออก เพื่อนำมาขายในประเทศ
ส่วนหน้ากากอนามัยที่ขออนุญาตส่งออกเพื่อนำไปบริจาคให้กับประเทศที่มีการแพร่ระบาด เช่น จีน หากจะอนุญาตการส่งออก ผู้ส่งออกจะต้องแบ่งส่วนหนึ่งมาให้กับศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อนำไปจัดสรรภายในประเทศให้กับผู้ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้ เช่น โรงพยาบาล ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยตรง โดยอาจจะขอแบ่งในสัดส่วน 50 ต่อ 50 โดยหากส่งออก 500,000 ชิ้น ต้องจัดสรรให้ศูนย์ 250,000 ชิ้น ส่งออกได้ 250,000 ชิ้น เป็นต้น
“ผู้ผลิตและผู้ส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมดรับที่จะทำตามกติกา เพื่อให้มีของส่งออกไปได้ และมีของใช้เพียงพอในประเทศ โดยผมจะนำข้อเสนอนี้หารือกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก่อนว่าจะเห็นด้วยตามนี้หรือไม่”
ส่วนหน้ากากอนามัยที่จะขอส่งออกทั้ง 21 ล้านชิ้นนั้น พบว่า เกือบจะทั้งหมดเป็นหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา ไม่ใช่สเปกต์พิเศษ โดยขอส่งออกไปจีน 15 ล้านชิ้น ไปสหรัฐฯ 3.6 ล้านชิ้น ที่เหลือไปประเทศอื่นๆ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้อนุญาตให้มีการส่งออกแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ผลิตที่ยังไม่ได้แจ้งสต๊อกให้กับกรมฯ ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ภายในวันที่ 6 ก.พ.2563 ที่ผ่านมานั้น กรมฯ ได้ให้เวลาแจ้งสต๊อกถึงวันที่ 14 ก.พ.2563 เพื่อจะได้รู้ว่าผู้ผลิตมีสต๊อกที่แท้จริงเท่าไร หากไม่แจ้งภายในกำหนด จะมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ และยังปรับอีกวันละ 2,000 บาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น