กรมเจรจาฯ แนะใช้เอฟทีเอขยายตลาด“เครื่องเทศ-สมุนไพร”เกาะเทรนด์รักสุขภาพมาแรง - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563

กรมเจรจาฯ แนะใช้เอฟทีเอขยายตลาด“เครื่องเทศ-สมุนไพร”เกาะเทรนด์รักสุขภาพมาแรง

img

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ แนะผู้ผลิต ผู้ส่งออก ใช้โอกาสจากเทรนด์รักสุขภาพที่กำลังมาแรง ใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอขยายตลาดสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรไทย หลังล่าสุดมี 13 ประเทศยกเว้นภาษีนำเข้า ส่วนยารักษาโรคจากสมุนไพร มีถึง 17 ประเทศที่ยกเลิกภาษีแล้ว พร้อมย้ำต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพ มาตรฐาน และต้องศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งของไทยและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสส่งออก
        
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายประเทศมีการตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้พืชสมุนไพรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย จึงเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการที่จะขยายตลาดสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรไทย โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยมีอยู่จำนวน 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ เพื่อเพิ่มแต้มต่อในการส่งออก ซึ่งสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรของไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าแล้วจากประเทศคู่เอฟทีเอ 13 ประเทศแล้ว เหลือเพียง สปป.ลาว จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรจากไทยบางรายการ ขณะที่ยารักษาโรคจากสมุนไพรได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่เอฟทีเอ 17 ประเทศแล้ว ยังเหลืออินเดียที่คงอัตราภาษีที่ 5%
        
“ถือเป็นโอกาสทองที่เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยจะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดการส่งออก ทั้งในรูปวัตถุดิบ และการแปรรูปใช้เป็นวัตถุดิบในสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องปรุงรส อาหารเสริม เครื่องสำอาง เป็นต้น และควรให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า โดยเฉพาะความสะอาดปลอดภัย เช่น ระมัดระวังให้ปราศจากสารปนเปื้อน ยาฆ่าแมลง สิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค และแมลง เป็นต้น และควรศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและส่งออกจากสมุนไพรของแต่ละประเทศด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกได้” นางอรมนกล่าว
        
นอกจากนี้ การผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอาจมีมาตรการควบคุมเข้มงวดเพิ่มเติม เช่น ประเทศไทยมีพ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 ที่กำหนดให้ต้องขออนุมัติผลิตภัณฑ์สมุนไพรก่อนออกสู่ตลาด รวมทั้งต้องขออนุญาตผลิต ขายและนำเข้า หรือในกรณีที่เป็นยาทำจากสมุนไพร อาจมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดเป็นพิเศษ โดยต้องมีการขอขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยต้องมีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับสูตร ส่วนประกอบ กรรมวิธีการผลิตที่ได้มาตรฐานตามที่กําหนด มีความปลอดภัยและสามารถเชื่อถือในสรรพคุณตามหลักเกณฑ์ที่เป็นสากล ขณะที่ต่างประเทศอาจกำหนดมาตรการควบคุมการผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่แตกต่างกัน เช่น การขออนุญาตนำเข้า การจดทะเบียนโรงงาน การตรวจสอบสุขอนามัยและความปลอดภัย การตรวจสอบย้อนกลับ การดูแลในเรื่องฉลากสินค้า และการอวดอ้างสรรพคุณของสินค้า ซึ่งต้องศึกษาและเรียนรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะได้ผลิตและส่งออกได้โดยไม่ติดขัด
        
ทั้งนี้ ในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรไปทั่วโลก รวมเป็นมูลค่าถึง 196 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้ากลุ่มขิงและขมิ้นมีสัดส่วนการส่งออกสูงที่สุด คิดเป็น 37% รองลงมา คือ หมาก 34% และพริก 14% เป็นการส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอ 18 ประเทศ ถึง 130 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 66% ของการส่งออกทั้งหมด มีตลาดส่งออกที่สำคัญ เช่น อาเซียน ส่วนแบ่งตลาด 49% (เมียนมา เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 มีส่วนแบ่งตลาด 79%) ปากีสถาน 12% ญี่ปุ่น 9% สหภาพยุโรป 7% และจีน 3% เป็นต้น
        
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ความตกลงเอฟทีเอฉบับแรกกับอาเซียนมีผลใช้บังคับในปี 2535 จนถึงปี 2562 การส่งออกสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 321% และมูลค่าการส่งออกสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรไปประเทศคู่เอฟทีเอยังขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกตลาด โดยตลาดอาเซียนขยายตัวสูงสุดถึง 3,470% รองลงมา คือนิวซีแลนด์ ขยายตัว 2,800% เกาหลีใต้ ขยายตัว 1,500% จีนขยายตัว 1,400% และออสเตรเลีย ขยายตัว 200%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad