(Photo by Mario Tama/Getty Images)
วิกฤตโรคระบาดไวรัส COVID-19 สำแดงฤทธิ์ในรายงานผลประกอบการบริษัทไตรมาสแรก โดยบริษัทระดับโลกถูกแยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มที่ยังดำเนินงานต่อได้แถมยังทำรายได้พุ่งทะยาน กับกลุ่มบริษัทที่ต้องกัดฟันสู้
สำนักข่าว CNN รายงานสถานการณ์บริษัทในตลาดหุ้น หลังทยอยแจ้งผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2020 พบว่าธุรกิจบางประเภท ได้แก่ ธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ ธุรกิจจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจเทคโนโลยี สามารถทำรายได้พุ่งทะยานแม้จะมีคำสั่งให้ประชาชนอยู่กับบ้าน
ธุรกิจคลาวด์ของ Microsoft เติบโตติดจรวดจนมีผู้ใช้เฉลี่ย 75 ล้านคนต่อวัน ขณะที่บริษัทยา Eli Lilly ได้อานิสงส์เมื่อองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ อนุญาตขึ้นทะเบียนยารักษามะเร็งตัวใหม่ของบริษัท
แต่ทว่า กลุ่มที่ใหญ่กว่าคือ บริษัทที่ไม่มีลูกค้าจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือดีมานด์สินค้าหดตัวอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น Disney ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมบันเทิง และ Marriott เชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งคู่ต่างรายงานผลกำไรดิ่งเหว หลังจากสวนสนุกและโรงภาพยนตร์ถูกปิดทำการ รวมถึงการท่องเที่ยวถูกจำกัด แถมยังประเมินว่าอนาคตจะยังมีความท้าทายต่อไป
เชนโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก Marriott รายงานผลกำไรสุทธิไตรมาส 1/63 หดตัวรุนแรงถึง 92% จากโรคระบาดไวรัส COVID-19 หยุดการท่องเที่ยว
“การฟื้นตัว (ทางเศรษฐกิจ) จะไม่เกิดขึ้นพร้อมกันทุกภูมิภาค และไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วชั่วข้ามคืน” อาร์น โซเรนสัน ซีอีโอแห่ง Marriott กล่าวกับนักวิเคราะห์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา “มันอาจจะต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่พวกเราต้องการ”
หนทางข้างหน้ายังคงไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับทั้ง 2 กลุ่มบริษัท เพราะการระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ยากที่จะวางแผนอนาคต แต่สำหรับบริษัทที่ไม่สามารถทำธุรกิจอะไรได้ในวิกฤตครั้งนี้ เส้นทางไม่กี่เดือนข้างหน้าคือการเสี่ยงดวงว่าจะออกหัวหรือก้อย
บริษัทที่ยังยิ้มได้
กลุ่มบริษัทที่เห็นได้ชัดว่ารอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้คือ บริษัทเทคโนโลยี แน่นอนว่าพวกเขาเผชิญความท้าทายบางประการเช่นกัน เช่น การขาดแคลนซัพพลายเชน แต่ส่วนใหญ่แล้วธุรกิจกลุ่มนี้ได้อานิสงส์จากการทำงานทางไกลที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้การใช้งานออนไลน์สูงขึ้นตาม เข้าทางกลุ่มบริษัทเทคฯ ที่พัฒนาสินค้าและบริการตอบโจทย์เหล่านี้อยู่แล้ว
Google และ Facebook ต่างทำยอดขายโฆษณาออนไลน์ได้ตามเป้าในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Google รายงานรายได้ Q1/20 อยู่ที่ 4.12 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และ Facebook รายงานรายได้ 1.77 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
ฝั่ง Netflix มีสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก 16 ล้านคนในไตรมาสแรกของปี และทำกำไรเพิ่มมากกว่าเท่าตัวเทียบช่วงเดียวกันของปี 2019 ฟากบริษัทเกม Nintendo ทำกำไรในรอบบัญชีที่ปิดเมื่อเดือนมีนาคม 2020 สูงขึ้น 41% จากความสำเร็จล้นหลามของเกม Animal Crossing และการขายเครื่อง Nintendo Switch
Netflix คือหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นในวิกฤต COVID-19 โดยมียอดสมัครสมาชิกเพิ่ม 16 ล้านรายภายในไตรมาสเดียว
กระนั้นเอง สถานการณ์ไวรัส COVID-19 จะเริ่มกระทบบริษัทที่ยังยิ้มได้เหล่านี้ในไม่ช้า ตัวอย่างเช่น Netflix แม้จะถ่ายทำคอนเทนต์สำหรับฉายในปี 2020 ไปเกือบหมดแล้ว แต่สำหรับการถ่ายทำคอนเทนต์ที่จะฉายปี 2021 นั้นเป็นหนังคนละม้วนเลยทีเดียว
Amazon ที่มียอดเดลิเวอรี่สูงขึ้นมาก บริษัทกล่าวว่า หากบริษัททำยอดขายได้เท่านี้ในช่วงเวลาปกติ Amazon จะมีกำไร 4 พันล้านเหรียญภายในไตรมาสแรก แต่ เจฟฟ์ เบโซ ซีอีโอบริษัทกล่าวว่า กำไรทั้งหมดนั้นหรืออาจจะมากกว่านั้นจะต้องถูกนำกลับไปลงทุนเพื่อรับมือกับสถานการณ์เกี่ยวเนื่องไวรัส COVID-19 เช่น อุปกรณ์ป้องกันเชื้อไวรัสให้กับพนักงาน กระบวนการทำความสะอาดคลังสินค้า
ในทำนองเดียวกัน Tesco เชนซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อรับมือไวรัสอาจพุ่งไปแตะ 650 ล้านปอนด์หากการล็อกดาวน์เกิดขึ้นระยะยาวถึง 12 สัปดาห์ เพราะบริษัทต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานเพิ่ม บริหารการกระจายสินค้า ค่าใช้จ่ายการทำความสะอาดและซ่อมบำรุง
แต่อย่างน้อยๆ บริษัทเหล่านี้ก็มีรายได้เข้ามาให้บริหาร…
บริษัทที่ต้องเอาตัวรอด
ตัดภาพมาอีกกลุ่มบริษัทหนึ่งอย่าง สายการบิน โรงแรม เสื้อผ้าแฟชั่น ฯลฯ ช่องทางหารายได้ของพวกเขาถ้าไม่ถูกปิดโดยสมบูรณ์ก็มีมาตรการจำกัดอย่างรุนแรง บริษัทเหล่านี้ก้าวเข้าสู่โหมดเอาตัวรอดไปแล้วและกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อรักษากระแสเงินสด
“ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม เราก็ถูกหยุดทุกอย่าง” ไมเคิล ราปิโน ซีอีโอบริษัท Live Nation ผู้จัดอีเวนต์ กล่าวกับนักวิเคราะห์เมื่อสัปดาห์ก่อน “เราไม่ได้จัดคอนเสิร์ตแม้แต่ครั้งเดียวมาเกือบสองเดือนแล้ว”
Disney ต้องปิดทำการสวนสนุกทั่วโลก และต้องเลื่อนการฉายภาพยนตร์ Mulan ออกไป (photo: Disney World)
Disney บริษัทยักษ์ใหญ่เผชิญปัญหากำไรดิ่งลงถึง 91% ในไตรมาสแรกของปี เนื่องจากบริษัทถูกบังคับปิดทำการสวนสนุกและรีสอร์ต รวมถึงต้องดีเลย์การเปิดฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Mulan ออกไปก่อน
บ๊อบ ไอเกอร์ ประธานบริหาร Disney ยังมองในแง่บวกว่าถ้าหากวิกฤตจบลงเมื่อไหร่ เขามั่นใจว่าผู้บริโภค “จะกลับมาทำกิจกรรมที่คุ้นเคย” แต่สำหรับตอนนี้ บริษัทยังอยู่ในช่วงที่บีบคั้น
Marriott มีสถานการณ์ไม่ต่างกันนักด้วยกำไรที่ลดลง 92% รายได้เฉลี่ยต่อห้องลดลงไป 90% ในเดือนเมษายน โดยที่ 1 ใน 4 ของโรงแรมในเครือทั่วโลกยังคงปิดทำการ
สำหรับธุรกิจแฟชั่นได้รับผลกระทบตั้งแต่ก่อนมีการล็อกดาวน์ทั่วโลก เพราะผู้บริโภคเริ่มระมัดระวัง ใช้จ่ายเฉพาะสินค้าจำเป็นทำให้ดีมานด์ลดลงอยู่แล้ว จนกระทั่งการทยอยเว้นระยะห่างทางสังคมก็เริ่มที่การปิดศูนย์การค้าก่อน บางบริษัทในสหรัฐฯ ที่ไม่แข็งแรงพอ เช่น J.Crew และ Neiman Marcus นั้นยื่นขอล้มละลายไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน
“ดาวร่วง” มีมากกว่า “ดาวรุ่ง”
สรุปรวมแล้ว ผลประกอบการไตรมาสแรกชี้ชัดว่าบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในภาวะยากลำบากมากกว่ากลุ่มบริษัทที่กำลังเติบโต โดยกลุ่มบริษัทใน S&P 500 มีการรายงานผลประกอบการแล้ว 430 บริษัท ในจำนวนนี้มีเพียง 10% ที่ปรับคาดการณ์ผลกำไรในไตรมาสสองขึ้นอีก ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยที่สุดที่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2008
“ทุกคนได้รับผลกระทบเชิงลบจากสิ่งที่เกิดขึ้น คำถามมีเพียงว่า ‘หนักแค่ไหน?'” ปีเตอร์ บุ๊กวาร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนจาก Bleakley Advisory Group กล่าว
สายการบิน : กลุ่มธุรกิจที่เผชิญวิกฤตหนักที่สุดจากโรคระบาดครั้งนี้ (Photo by Paula Bronstein/Getty Images)
บริษัทส่วนมากพยายามอยู่กับความเป็นจริง หลายบริษัทส่งสัญญาณประเมินสถานการณ์แล้วว่า ธุรกิจของตนคงไม่ฟื้นตัวเร็วนัก
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจที่ถูกตัดช่องทางหารายได้แทบจะสิ้นเชิง เช่น สายการบิน จำเป็นต้องกลับมาดำเนินธุรกิจให้ได้ในเร็วๆ นี้ มิฉะนั้นการปลดพนักงานจะยิ่งพุ่งสูงและการลดขนาดองค์กรในช่วงที่ผ่านมาจะกลายเป็นสิ่งถาวร แต่จะยังไม่ใช่การเปิดธุรกิจอย่างเต็มที่ เพราะหลายบริษัทยังคงระมัดระวังเรื่องการระบาดซ้ำ ซึ่งจะสร้างบาดแผลให้ธุรกิจเป็นระลอกที่สองและอาจจะมากเกินกว่าที่บริษัทรับได้ไหว
เมื่อการคลายล็อกดาวน์เริ่มบังคับใช้ สถานที่ต่างๆ อย่างศูนย์การค้า โรงแรม ร้านค้า จะมีบรรยากาศที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แผงพลาสติกจะกั้นกลางระหว่างลูกค้ากับพนักงานร้าน และทุกประตูจะมีเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิรออยู่ แต่นั่นคงเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดแล้วสำหรับหลายๆ บริษัท
ที่มา Positioning
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น