ความก้าวหน้าล่าสุดของ Aruba ESP ช่วยให้องค์กรขนาดใหญ่สามารถเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยได้ครอบคลุมจาก Edge ไปจนถึง Cloud - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564

ความก้าวหน้าล่าสุดของ Aruba ESP ช่วยให้องค์กรขนาดใหญ่สามารถเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยได้ครอบคลุมจาก Edge ไปจนถึง Cloud

ความก้าวหน้าล่าสุดของ Aruba ESP ช่วยให้องค์กรขนาดใหญ่สามารถเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยได้ครอบคลุมจาก Edge ไปจนถึง Cloud

ด้วยการผสานแนวทาง Zero Trust และ SASE เข้าด้วยกัน องค์กรขนาดใหญ่จึงสามารถเร่งการปรับปรุงประสิทธิภาพของ WAN และเสริมความมั่นคงปลอดภัยให้ระบบเครือข่ายให้ดียิ่งขึ้น, พร้อมเปิดรับการใช้งานระบบ Cloud และ IoT ที่ก้าวหน้า ไปจนถึงช่วยการทำ Digital Transformation ให้องค์กรได้อย่างรวดเร็ว

 อรูบ้า (Aruba) บริษัทในเครือฮิวเลตต์แพคการ์ดเอ็นเตอร์ไพรส์ (NYSE: HPE) ได้จัดงานงานสัมมนาออนไลน์ Aruba Atmosphere 2021 งานสัมมนาใหญ่ระดับโลกจาก Aruba ที่ลูกค้าในประเทศไทยจะได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจาก Aruba ที่จะมาเผยวิสัยทัศน์ด้าน Data, AI และ Automation ในระบบเครือข่ายเพื่อรับการมาของ Edge ที่มี Solution ความปลอดภัยสูงสุด งานเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ด้านเครือข่ายระดับโลก งาน Aruba Atmosphere Digital  ATMD’21 ภายใต้ธีมงาน “ Your Journey, Your Edge ”  ที่จะส่งมอบเนื้อหาและประสบการณ์อันน่าทึ่งต่างๆ ผ่านงาน Atmosphere Digital ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าไม่เพียงแค่เข้าใจถึงโอกาสในการรับรู้เทคโนโลยี่ใหม่ แต่ยังมอบแนวทางปฏิบัติอย่างชัดเจนว่าองค์กรของลูกค้าในไทยสามารถก้าวเข้าสู่ศตวรรษแห่ง Edge ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร

รายละเอียดงานและช่องทางการบรรยายในงานเป็น Online Web Conference ตั้งแต่เวลา 09.30 – 12.00 น. โดยบรรยายเป็นภาษาอังกฤษและมี subtitle ภาษาไทย ในTheme งาน “Your Journey, Your Edge” คือการเดินทางขององค์กรต่างๆ ท่ามกลางการปรับตัวมากมายในยุค Digital Transformation ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ระบบเครือข่ายภายในองค์กร ระบบเครือข่ายระหว่างสาขา หรือเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งไม่ว่าองค์กรของลูกค้าจะอยู่ส่วนไหนในการเดินทางก็ตาม Aruba ก็จะคอยอยู่ที่นั่นเพื่อพาไปยังจุดหมายปลายทาง

โดยมี Keynote คนสำคัญ คือ คุณ Keerti Melkote, Founder และ CEO ของ Aruba ซึ่งจะบรรยายภายใต้หัวข้อ “Your Journey, Your Edge : How Edge-to-Cloud Powers Transformation” นั่นคือบรรยายถึงการเดินทางในยุค Digital Transformation ซึ่งระบบเครือข่ายแบบ Edge-to-Cloud นั้นสามารถช่วยได้และ Keynote คนถัดมาคือ คุณ Partha Narasimhan , Chief Technology Officer หรือ CTO จาก Aruba บรรยายภายใต้หัวข้อ “Define Your Edge Journey : Reach Your Destination with Aruba ESP” ซึ่งจะช่วยนิยามการเดินทางของ Edge ในแบบของเราเอง และนำพาไปสู่จุดหมายปลายทางด้วย Aruba ESP นอกจากนี้ภายใน Virtual Event นอกจากมีบรรยายจาก Keynote ต่างๆแล้ว ก็ยังมี Zone ต่างๆที่ให้ข้อมูลน่าสนใจ ที่ลูกค้าสามารถเข้าไปเลือกชมได้ เหมือนอยู่ในงานสัมนาจริงๆ 

ไม่ว่าจะเป็น Innovation Zone โดย Aruba จะมีการ update innovation ให้ได้ศึกษากันมากกว่า 15 เรื่อง

Airheads Community ที่รวบรวมข้อมูลจากกรณีศึกษาต่าง ๆ มาเล่าสู่กันฟัง หรือ AIRHEADS LOUNGE ซึ่งเป็นประชาคมสำหรับวิศวกร

Aruba ประกาศการขยายความสามารถในการผสานด้านระบบความมั่นคงปลอดภัย และ ผลิตภัณฑ์ต่างๆให้ครอบคลุม Edge ไปจนถึง Cloud ภายใต้ Aruba ESP (Edge Services Platform) ได้แก่ การผสานแพลตฟอร์ม ClearPass Policy Manager สำหรับควบคุมการเข้าถึงระบบเครือข่ายเข้ากับแพลตฟอร์ม Aruba EdgeConnect SD-WAN หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่า Silver Peak, การผสาน Aruba Threat Defense เข้ากับแพลตฟอร์ม EdgeConnect และการขยายระบบนิเวศของ Aruba ESP ให้สามารถรองรับพันธมิตรด้านระบบความมั่นคงปลอดภัยที่หลากหลายยิ่งขึ้นได้ เพื่อให้ลูกค้าระดับองค์กรขนาดใหญ่มีอิสระในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่ดีที่สุดจากพันธมิตรเหล่านี้ ซึ่งรวมถึง Secure Access Service Edge (SASE) บนระบบ Cloud ได้อย่างอิสระตามต้องการ ด้วยความสามารถใหม่ของ Aruba ESP ที่ประกาศเปิดตัวในวันนี้จะทำให้องค์กรธุรกิจทำ Digital Transformation จาก Edge ไปจนถึง Cloud ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

องค์กรธุรกิจต่างต้องเผชิญกับความท้าทายนานับประการท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 และการเกิด New Normal ในเรื่อง “การทำงานได้จากทุกที่” ทำให้การเลือกใช้บริการบน Cloud ยิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เร่งให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงศูนย์ข้อมูลแบบเดิมและเครือข่ายที่มี MPLS และ VPN เป็นหัวใจสำคัญไปสู่สถาปัตยกรรม SASE แบบ Cloud-Native อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้องค์กรธุรกิจมีบริการระบบเครือข่ายที่มั่นคงปลอดภัยและเปลี่ยนแปลงได้อย่างยืดหยุ่นยิ่งกว่าเดิม ในขณะที่ยังคงสามารถปกป้องข้อมูลสำคัญขององค์กรได้อย่างทั่วถึง

ในขณะเดียวกัน การทำ Digital Transformation เองนั้นก็ได้ทำให้เกิดการใช้งานอุปกรณ์ IoT ภายในระบบเครือข่ายมากขึ้นอย่างมหาศาล เกิดเป็นความท้าทายใหม่ ๆ ที่ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ด้วยการใช้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยจากบน Cloud เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป เนื่องจากอุปกรณ์ IoT โดยมากนั้นไม่สามารถทำการติดตั้งซอฟต์แวร์ใด ๆ เพิ่มเติมได้ ทำให้ฝ่าย IT ไม่สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์รักษาความมั่นคงปลอดภัยหรือปรับแต่งให้อุปกรณ์ทำการส่ง แทรฟฟิคไปยังบริการด้าน Cloud Security ได้ ดังนั้นแนวทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแบบ Zero Trust จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้ที่ระบบเครือข่ายในระดับสาขา (WAN Edge) ด้วย

เพื่อให้องค์กรนั้นสามารถใช้งาน Cloud และทำ Digital Transformation ได้อย่างเต็มศักยภาพ องค์กรธุรกิจจึงต้องการ ระบบเครือข่ายในระดับสาขาที่ผสมผสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทั้งแบบ On-Premise และ Cloud เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดเป็นระบบ SASE ที่ปกป้องผู้ใช้งานซึ่งทำการเชื่อมต่อไปยังบริการ SaaS และแพลตฟอร์ม Public Cloud ได้ ในขณะที่ยังคงปกป้องอุปกรณ์ IoT ได้ด้วย Zero Trust ที่ใช้การตรวจสอบยืนยันตัวตนเป็นหลัก โดยความสามารถในการเชื่อมผสานระบบใหม่ของ Aruba ESP ที่เปิดตัวมาในวันนี้ ลูกค้าองค์กรจะสามารถกำหนดนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยในเชิงลึกตามการระบุยืนยันตัวตนได้ตั้งแต่ Edge จนถึง Cloud เพื่อให้การเชื่อมต่อเครือข่ายมีความมั่นคงปลอดภัย รวมถึงปกป้องผู้ใช้งานและอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกัน

รายงานที่เพิ่งถูกเปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้จาก 650 Group บริษัทนักวิจัยทางด้านการสื่อสารได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ SASE พร้อมกับอธิบายถึงความจำเป็นที่องค์กรธุรกิจจะต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัยตามความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี โดยคุณ Chris DePuy นักวิเคราะห์เทคโนโลยีผู้ก่อตั้งแห่ง 650 Group ได้กล่าวว่า “ในขณะที่องค์กรธุรกิจได้เปลี่ยนไปสู่การใช้สถาปัตยกรรม Zero Trust และ SASE นั้น องค์กรเหล่านี้ก็ได้ทำการประเมินและติดตั้งใช้งานบริการด้านความมั่นคงปลอดภัยบน Cloud จากผู้พัฒนาหลายราย ซึ่งส่วนประกอบของระบบ SASE เองนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากผู้ผลิตเพียงรายเดียวแต่อย่างใด แนวทางของ Aruba จึงถือเป็นแนวทางที่จะสร้างสมดุลระหว่างการเสริมความมั่นคงปลอดภัยในแบบ On-Premise ที่ระบบเครือข่ายในระดับสาขาในขณะที่ยังทำให้ลูกค้ามีอิสระที่จะเลือกใช้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยบน Cloud ได้อย่างอิสระจากพันธมิตรอย่างเช่น Zscaler, Netskope และ Check Point ซึ่งกลยุทธ์ในการเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตเทคโนโลยีหลายรายนี้ส่งผลให้องค์กรธุรกิจมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยใช้เทคโนโลยีจากผู้ผลิตรายเดิม หรือเปลี่ยนไปสู่ระบบจากผู้ผลิตชั้นนำย่อมได้เช่นกัน”

 การผสานระบบ ClearPass Policy Manager ร่วมกับ Aruba EdgeConnect

 การผสานระบบของ ClearPass Policy Manager เข้ากับ Aruba EdgeConnect SD-WAN Edge Platform ได้เสริมความสามารถในการติดตามและวิเคราะห์การใช้งานแอปพลิเคชัน (Application Intelligence) ได้ด้วยการเพิ่มการรับรู้ตัวตนของผู้ใช้งาน, อุปกรณ์ IoT, บทบาทของผู้ใช้งานและอุปกรณ์ และสถานะด้านความมั่นคงปลอดภัยในปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นรากฐานให้กับการใช้งาน SASE ที่ระบบเครือข่ายในระดับสาขา โดยการผสานข้อมูลด้านบทบาท (Role) และสถานะความมั่นคงปลอดภัย (Security Posture) เข้ากับความสามารถในการทำ Dynamic Segmentation แล้ว องค์กรจะสามารถลดความซับซ้อนที่เกิดขึ้นในการบริหารจัดการ VLAN นับร้อยที่เคยต้องสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ใช้งานและอุปกรณ์ที่แตกต่างกันได้ ส่งผลให้การบริหารจัดการและดูแลรักษาระบบเครือข่ายมีความง่ายดายมากยิ่งขึ้น การผสานระบบดังกล่าวนี้จะทำให้การกำหนดบทบาทนั้นสะท้อนไปถึงการควบคุมอย่างทั่วถึงและเป็นอัตโนมัติ ซึ่งสามารถใช้ในการกำหนดสิทธิ์ได้ทั่วทั้งระบบเครือข่าย ณ ตำแหน่งที่อุปกรณ์ของผู้ใช้งานทำการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายได้ในทันที ไม่ว่าจะผ่านระบบ LAN หรือ WAN ก็ตาม

 

การผสานระบบ Aruba Threat Defense ร่วมกับ Aruba EdgeConnect

 

การผสานระบบของ Aruba Threat Defense ร่วมกับ Aruba EdgeConnnect SD-WAN Edge Platform ได้เพิ่มความสามารถในการทำ Intrusion Detection and Prevention (IDS/IPS) ชั้นสูงให้กับ EdgeConnect ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งใช้งานในแบบอุปกรณ์จริงหรือ Virtual ก็ตาม และทำให้แพลตฟอร์ม EdgeConnect สามารถใช้ระบบโครงสร้างในการจัดการภัยคุกคามของ Aruba ได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งเกิดการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามระหว่าง Aruba Central และ EdgeConnect เพื่อให้สามารถตรวจสอบภัยคุกคามได้ทั่วทั้งระบบเครือข่าย โดยความสามารถในการทำ Unified Threat Management (UTM) นี้ก็จะส่งผลให้องค์กรสามารถเสริมความมั่นคงปลอดภัยให้กับการรับส่งข้อมูลภายในองค์กรไปพร้อมกับการปกป้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในทุกสาขาได้ อีกทั้งระบบดังกล่าวนี้ยังสามารถติดตั้งใช้งานได้แบบศูนย์กลางภายในองค์กรหรือติดตั้งใช้งานผ่าน Cloud ก็ได้เช่นกัน โดยการใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับภัยคุกคามและการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามร่วมกันบน Aruba ESP นี้ ผู้จัดการด้านระบบเครือข่ายและความมั่นคงปลอดภัยก็จะสามารถบังคับใช้นโยบายในการรับมือกับภัยคุกคามได้ทั่วทั้งองค์กรจากศูนย์กลาง

อิสระในการเลือกใช้เทคโนโลยีจากพันธมิตรหลากหลายผู้ผลิต

เมื่อองค์กรธุรกิจได้เริ่มก้าวไปสู่การใช้สถาปัตยกรรม Zero Trust และ SASE แล้ว พร้อมกับเพิ่มการประเมินและเลือกใช้งานบริการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยบน Cloud จากผู้ผลิตที่หลากหลาย โดยยืนยันได้จากผลสำรวจด้านแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยฉบับใหม่ล่าสุดจาก Ponemon ด้วยการเปิดเผยว่ามากกว่า 70% ของผู้ถูกสำรวจนั้นจะมองหาโซลูชันด้านความมั่นคงปลอดภัยบน Cloud ที่ดีที่สุดมากกว่าที่จะเลือกใช้แนวทางสำเร็จรูปจากผู้ผลิตเพียงรายเดียว1 เพื่อให้สามารถวางระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Zero Trust และ SASE ให้ครอบคลุมได้

ด้วยหน้าจอบริหารจัดการ workflow ใหม่ในชื่อ Aruba Orchestrator management console ที่มีชื่อเดิมว่า Silver Peak Unity Orchestrator ที่ในปัจจุบันมีการกำหนดข้อมูลค่าตั้งต้นเกี่ยวกับบริหารด้านความมั่นคงปลอดภัยบน Cloud ของพันธมิตรทางด้าน Cloud Security เอาไว้ให้พร้อมใช้งานได้ทันที ด้วยเหตุนี้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายจึงสามารถเชื่อมต่อสาขาต่างๆ ที่ใช้ Aruba เข้ากับ Point of Presence (POP) และ Cloud Data Center ของพันธมิตรรายต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยผู้ผลิตเทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยชั้นนำอย่างเช่น Check Point, Forcepoint, McAfee, Netskope, Palo Alto Networks, Symantec และ Zscaler นั้นต่างล้วนเป็นพันธมิตรภายในระบบนิเวศทางด้านเทคโนโลยีของ Aruba ทั้งสิ้น

 “การผสานระบบของ ClearPass Policy Manager และ Aruba Threat Defense เข้ากับ EdgeConnect SD-WAN Edge Platform ทำให้เราสามารถใช้นโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยโดยอ้างอิงจากการระบุยืนยันตัวตนได้สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Aruba Secure Edge ทั้งหมด” คุณ David Hughes ผู้ก่อตั้งแห่ง Silver Peak และรองประธานอาวุโสแห่งธุรกิจ WAN ของ Aruba บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise กล่าว “การผสมสานที่ทรงพลังนี้จะทำให้ลูกค้าสามารถก้าวเดินต่อไปได้ด้วยระดับความเร็วที่ต้องการในการเปลี่ยนจากสถาปัตยกรรมระบบเครือข่ายที่มี Data Center เป็นศูนย์กลางแบบดั้งเดิมที่มีระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการเชื่อมต่อไปยังภายนอกเท่านั้น ไปสู่ระบบ WAN ที่มี Cloud เป็นศูนย์กลางพร้อมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่ใช้หลักการ Zero Trust และ SASE โดยลูกค้าองค์กรสามารถติดตั้งใช้งานแพลตฟอร์ม EdgeConnect WAN Edge ภายในองค์กรเพื่อควบคุมนโยบายความมั่นคงปลอดภัยที่ Edge ได้ และผสานระบบเข้ากับบริการด้านความมั่นคงปลอดภัยบน Cloud ชั้นนำจากผู้ผลิตที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย โดยทั้งหมดนี้สามารถบริหารจัดการจากศูนย์กลางได้ผ่าน Aruba Orchestrator”

ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Secure WAN Edge ที่ครอบคลุม รองรับสถานที่ทำงานแบบ Hybrid Work ทั้งหมดได้

แพลตฟอร์ม Aruba ESP ได้นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมที่สุดในอุตสาหกรรมแก่ลูกค้าของเรา ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันระบบเครือข่ายมีสาย, ไร้สาย และ WAN Edge ที่มีความมั่นคงปลอดภัยซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถปรับตัวสู่ New Normal ในปัจจุบันและอนาคตที่ยังไม่มีใครล่วงรู้ได้ โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม WAN Edge นั้นประกอบด้วย:

 -Virtual Intranet Access Client (VIA) – เพิ่มความยืดหยุ่นสูงสุดให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะเชื่อมต่อเครือข่ายส่วนตัวหรือสาธารณะก็ตาม

-Remote Access Points (RAPs) – ลดความซับซ้อนในการสร้างพื้นที่ทำงานแบบเคลื่อนที่ได้ แบบระยะไกล และ แบบชั่วคราว เชื่อมต่อไปยังเครือข่ายองค์กรได้อย่างมั่นคงปลอดภัย

-SD-Branch – ผสานระบบอย่างอิสระและง่ายดายพร้อมการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์สำหรับ WLAN, LAN และ SD-WAN พร้อมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแบบ Zero Trust

-EdgeConnect – สร้าง QoE (Quality of Experience) ที่ดีตั้งแต่ Edge ถึง Cloud ด้วยแพลตฟอร์ม SD-WAN Edge ชั้นสูงและส่วนประกอบต่างๆ ของ SASE ที่บริหารจัดการร่วมกันได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad