PACO เปิดธุรกิจใหม่ชิ้นส่วนรถไฟฟ้า EV, Plug-in Hybrid แบตเตอรีคูลเลอร์” รองรับเทรนด์ใหม่ ตลาดรถไฟฟ้าบูมทั่วโลก ฟันธงปีนี้รายได้โตทะลุเป้า 15% - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

PACO เปิดธุรกิจใหม่ชิ้นส่วนรถไฟฟ้า EV, Plug-in Hybrid แบตเตอรีคูลเลอร์” รองรับเทรนด์ใหม่ ตลาดรถไฟฟ้าบูมทั่วโลก ฟันธงปีนี้รายได้โตทะลุเป้า 15%

“PACO” บมจ.เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ มาแรง รุกเปิดตลาด ชิ้นส่วนรถไฟฟ้า EV เจาะตลาดโลก รองรับแบรนด์ดังทั้ง TESLA BMW พร้อมเดินหน้าขยายตลาดชื้นส่วนแอร์รถยนต์เต็มที่ เร่งยอดส่งออกรับอานิสงฆ์ค่าเงินบาทอ่อนต่อเนื่อง

นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) (“PACO”) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เปิดตัวสินค้ากลุ่มใหม่ เพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ของโลก คือ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเริ่มจาก ผลิตภัณฑ์ แบตเตอรี่คูลเลอร์ ซึ่งเป็น 1 ในชิ้นส่วนสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV และ PHEV (Plug-in Hybrid) ซึ่งขณะนี้ PACO ได้ผลิต แบตเตอรี่คูลเลอร์ สำหรับ Tesla ซึ่งเป็น แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก สำหรับรุ่น Tesla Model X และ Tesla 3 ตลอดจน รถยนต์ Plug-in Hybrid แบรนด์ BMW Series 3 และ Series 5 รุ่นปัจจุบัน (G20 และ G30) ซึ่งได้รับความนิยมสูงทั่วโลก โดย PACO เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทดแทนรายแรกของไทย ที่เริ่มเปิดตลาดแบตเตอรี่คูลเลอร์ ทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ

“ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า(EV) เป็นตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และจะเข้ามาแทนที่ตลาดรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป และ ประเทศจีนซึ่งเป็น 1 ในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมากทุกปี มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายแบรนด์ และ จำหน่ายในราคาที่แข่งขันได้กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน (IC) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยี่แบตเตอร์รี่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นทุกปี สามารถขับรถได้ระยะทางได้ไกลขึ้น ( 400-500 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง และแบตเตอรี่มี ราคาถูกลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ Plug-in Hybrid ทั่วโลกมากกว่า 11 ล้านคัน ณ สิ้นปี 2563 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 230 ล้านคันภายในปี 2573 จึงเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่พอสมควร โดยผลิตภัณฑ์ของ PACO มีจุดเด่นที่ มีคุณภาพเทียบเคียงกับอะไหล่แท้ ในราคาที่ต่ำกว่าประมาณกว่า 200% และมีการรับประกันสินค้านานถึง 12 เดือน โดยบริษัทฯจะ มุ่งเน้นตลาดส่งออกเป็นหลักและมีวางจำหน่ายตลาดในประเทศในเครือข่ายร้าน PACO Auto Shop กว่า 200 สาขาในปัจจุบัน” นายสมชายกล่าว

“ ปีนี้ เราเชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ทั่วโลกฟื้นตัวดี มีคำสั่งซื้อรถยนต์ใหม่ และ อะไหล่รถยนต์เพิ่มมากขึ้น โดยตลาดส่งออกหลักของบริษัทฯ คือ ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากความต้องการใช้น้ำมันที่มากขึ้นจากการเปิดเมือง ของ สหรัฐอเมริกา และทวีปยุโรป ทำให้บริษัทฯได้รับคำสั่งซื้อแอร์รถยนต์ซึ่งเป็นสินค้าหลักเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้บริษัทฯได้รับผลดีจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเนื่องจากรายได้หลักของบริษัทฯซึ่งมาจากการส่งออกกว่า 60% ประกอบกับราคาวัตถุดิบเริ่ม ปรับตัวลดลง ส่วนตลาดในประเทศ PACO มั่นใจว่าแผนการขยายเครือข่ายร้านอะไหล่แอร์รถยนต์ครบวงจร ภายใต้แบรนด์ PACO Auto Hub ได้ถึง 300 สาขาภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขาย ตลอดจนสร้างแบรนด์ PACO ให้เป็นที่ รู้จักในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ในประเทศ และเสริมความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้า จึงมั่นใจว่าปีนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะเติบโตมากกว่าเป้าหมาย 15%

อนึ่ง ในไตรมาส1/2564 PACO มีรายได้รวม 182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28 % จากรายได้รวม 141.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 มีกำไรขั้นต้น 48.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 206% จากเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 9.37 ล้านบาทในไตรมาส 4/2563 โดย PACO มีอัตรากำไรสุทธิ ( Net Margin) ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 ปีนี้ เรามีอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็น 15.4% เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอัตรา 12% ในปีก่อนสูง และเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ OEM ที่ประมาณ 5-10% เนื่องจาก PACO เน้นตลาดอะไหล่ทดแทน ( Aftermarket Parts) จึงสามารถกำหนดราคาขายสินค้าได้เองและมีการแข่งขันด้านราคาที่น้อยกว่า”

บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ก่อตั้งมาแล้วกว่า 30 ปี เป็น 1 ในผู้บุกเบิกการผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ของไทย และได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อะไหล่แอร์รถยนต์แบบครบวงจร ทั้ง คอยล์ร้อน และคอยล์เย็น สำหรับรถที่มียอดจำหน่ายปานกลางถึงสูง ทั้งรถญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกัน รวมมากถึง 2,600 รุ่น โดยบริษัทฯ มี โรงงานผลิต 3 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร และศูนย์กระจายสินค้า 1 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตบางบอน กรุงเทพมหานคร บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 และได้จำหน่ายสินค้าภายในประเทศ และ ส่งออกไปทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป อเมริกาใต้ เอเชียและออสเตรเลีย”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad