ไขข้อสงสัย! เพราะอะไร Aventador จึงเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่น่าจับตามาตลอด 10 ปี พร้อมทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Aventador รหัสสุดท้ายของLamborghini - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ไขข้อสงสัย! เพราะอะไร Aventador จึงเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่น่าจับตามาตลอด 10 ปี พร้อมทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Aventador รหัสสุดท้ายของLamborghini

 

ไขข้อสงสัย! เพราะอะไร Aventador จึงเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่น่าจับตามาตลอด 10 ปี

พร้อมทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Aventador รหัสสุดท้ายของLamborghini

 

อะไรคือความลับที่ส่งให้ซูเปอร์สปอร์ตคาร์อย่าง Aventador กลายเป็นไอคอนนิคความแรงที่เป็นกระแสชั่วพริบตา ทั้งยังสร้างปรากฏการณ์น่าจดจำให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา วันนี้ Lamborghini พามาย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์ของ Aventador กับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ V12 รุ่นนี้

 

1. อะเวนทาดอร์เปิดตัวครั้งแรกในปี 2011 ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ให้กับแบรนด์ลัมโบร์กินีได้อย่างสมศักดิ์ศรี ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คันในเวลาเพียง 9 ปี โดย Aventador ใช้เวลาเพียง5 ปี ก็มียอดจองมากกว่าจำนวนรถยนต์ V12 ที่ลัมโบร์กินีเคยผลิตรวมกันทั้งหมดเสียอีก และนี่คือAventador คันไฮไลต์ในรอบทศวรรษที่คุณไม่ควรพลาด

 

·              ในปี 2011 Aventador LP 700-4 ถือกำเนิดขึ้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค๊อกที่ผลิตขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด เครื่องยนต์ V12เจเนเรชั่นใหม่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับอะเวนทาดอร์โดยเฉพาะด้วยกำลัง 700 แรงม้า และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์สำคัญอย่างประตูแบบเปิดปีกนก

·              ในปี 2012 ลัมโบร์กินีได้เปิดตัว Aventador Roadster ซึ่งเป็นอะเวนทาดอร์เปิดประทุนรุ่นแรก โดยที่หลังคารถแต่ละฝั่งถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาน้อยกว่า 6 กก. ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อการถอดเข้าออกที่สะดวก และในปีเดียวกันนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำความโดดเด่นของอะเวนทาดอร์ ลัมโบร์กินีได้รังสรรค์อะเวนทาดอร์รุ่นพิเศษอย่างAventador J อะเวนทาดอร์ที่ถูกผลิตมาคันเดียวในโลก ถูกออกแบบตกแต่งภายนอกและภายในให้เข้ากัน โดยเน้นให้เห็นถึงเทคโนโลยีคาร์บอนไฟเบอร์ที่ลัมโบร์กินีเชี่ยวชาญ และสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกได้ว่ารวมความเป็นที่สุดแห่งประสบการณ์ไว้ในรถคันนี้

·              ปี 2016 Aventador Miura Homage ซีรีส์พิเศษที่ผลิตเพื่อเป็นเกียรติให้กับซูเปอร์สปอร์ตคาร์ในตำนานอย่าง Miura ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี โดยสะท้อนจิตวิญญาณของ Miura ต้นแบบ ทั้งในแง่สีสันและฟีเจอร์ไว้อย่างครบครัน ผลิตจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น ในปีเดียวกันนี้ ลัมโบร์กินีได้ทำการปรับโฉมให้กับอะเวนทาดอร์ โดยใช้ชื่อ Aventador S ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ สมรรถนะการขับขี่ และความสะดวกสบายในการใช้งานทุกวัน

·              ปี 2018 Aventador SVJ กับตำแหน่งราชันแห่ง Nürburgring - ถือเป็นสถิติใหม่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ SVJ ในฐานะรถยนต์แบบโปรดักชั่นที่ทำเวลาได้เร็วที่สุดในสนามแข่งระดับโลกด้วยเวลาเพียง 6:44.97 นาที โดยผลิตออกมาเพียง 900 คัน ขณะที่สเปเชี่ยล อิดิชั่น อย่าง SVJ 63 ผลิตจำกัดเพียง 63 คันเท่านั้น เพื่อระลึกถึงการก่อตั้ง Lamborghini ในปี1963 นั่นเอง โดยทั้ง 2 รุ่น ถูกออกแบบให้ใช้หลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงอย่าง ระบบ ALA ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดย Lamborghini อีกด้วย

·              ปี 2019 Aventador S by Skyler Grey ถือเป็น one-off ที่สร้างสีสันให้กับงานMonterey Car Week เลยก็ว่าได้ ผลงานคอลลาบอเรชั่นกับศิลปินดาวรุ่ง Skyler Grey ที่หลอมรวมศิลปะแห่งโลกยนตรกรรมและศิลปะแนวสตรีทอาร์ต ภายใต้คอนเซปต์ "splash-effect" ไว้ได้อย่างมีสไตล์ ที่สำคัญยังเป็น Lamborghini คันแรกที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการรับรองและปกป้องในฐานะงานศิลปะอีกด้วย

 

2. Lamborghini Aventador กลายเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์อันยอดเยี่ยมในโลกแห่งจินตนาการ จะเห็นได้ว่าเป็นรถที่มาพร้อมกับฮีโร่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาพยนตร์ฮอลลีวูด รถเครื่องยนต์ V12 นี้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่สร้างประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ระดับโลกหลากหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งคู่หูของอัศวินรัตติกาล อย่าง Aventador ที่เป็น BatMobile ให้กับBruce Wayne ในภาพยนตร์ "The Dark Knight Rises" (2012) โดยรถที่นำมาเข้าฉากคือAventador LP 700-4 ที่มาพร้อมป้ายทะเบียนเมืองสุดเท่ห์อย่าง “Gotham - 649 8227" อีกด้วย

 

3. Aventador ถือเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์คันแรกของ Lamborghini ที่ส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกเร้าใจด้วยโหมดการขับขี่ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ มีให้เลือกถึง 4 แบบ -STRADA, SPORT, CORSA และ EGO ซึ่งในโหมด EGO นี้เองที่ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าโปรไฟล์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ ณ ขณะนั้นมากที่สุด อาทิ ระบบส่งกำลัง (เครื่องยนต์, 4WD), การบังคับเลี้ยว และชุดควบคุมระบบช่วงล่าง  Magneride adaptive ที่สามารถปรับระดับตามโหมดการขับขี่ในทุกสถานการณ์

 

4. แม้จะเดินทางมาถึงรหัสสุดท้ายของ Aventador แต่เชื่อเถอะว่า Aventador LP 780-4 Ultimae (แอลพี 780-4 อูลติเม) คือ Aventador ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตรถของ Lamborghini โดยคอนเซปต์หลักของรุ่นนี้คือการหลอมรวมสุดยอดสมรรถนะของAventador SVJ กับสไตล์ที่สง่างามเหนือกาลเวลาของ Aventador S ไว้ในหนึ่งเดียว

 

สเตฟาน วิงเคิลแมน ประธานบริหาร Automobili Lamborghini ได้กล่าวไว้ว่า“Aventador LP 780-4 Ultimae เป็นตัวแทนของความสำเร็จสำหรับเครื่องยนต์ V12ของ Lamborghini ตัวรถสามารถส่งต่อประสบการณ์การขับขี่สูงสุดและตอบโจทย์ในการเป็นตัวแทนส่งท้ายของรุ่นทั้งในเรื่องของสมรรถนะและดีไซน์อันเป็นตำนานAventador นั้นถูกออกแบบมาให้เป็นรถที่จะเป็นตำนานไว้อยู่แล้วตั้งแต่เปิดตัว และAventador LP 780-4 คือการส่งต่อตำนานที่เหมาะสมที่สุด

พละกำลังและสมรรถนะ

Aventador LP 780-4 Ultimae มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร สร้างพละกำลังสูงสุด 780 แรงม้า โดยเพิ่มขึ้นมากถึง 40 แรงม้าเมื่อเทียบกับ Aventador S และ 10แรงม้าเมื่อเทียบกับ SVJ จุดเด่นของ Ultimae คือการรวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดจากการพัฒนากว่า 10 ปี  ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่ได้รับจากการทำสถิติในสนามอย่าง Nürburgring-Nordschleife บน SVJ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ระบบการขับขี่ที่ก้าวหน้าและเพิ่มความสะดวกสบายใน Aventador S หรือความดิบของตัวรถที่มีมาตั้งแต่ Aventadorโฉมแรก

Aventador LP 780-4 ใช้ตัวถังแบบคาร์บอนไฟเบอร์โมโนค็อกเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดน้ำหนักตัวถัง ช่วยให้ตัวรถมีน้ำหนักเพียง 1,550 กก. ในตัวถังคูเป้นั้นจะมีน้ำหนักเบากว่า 25 กก. เมื่อเทียบกับ Aventador S ส่งผลให้แรงม้าต่อน้ำหนักเทียบเท่ากับSVJ ที่ 1.98 กก./แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลาเพียง 2.8 วินาทีในรุ่น coupés และ 2.9 วินาทีในรุ่น roadster และความเร็วสูงสุดที่ 355 กม./ชม. ในด้านของสมรรถนะการหยุดรถนั้น ระบบเบรคเซรามิคสามารถหยุดรถจากความเร็ว 100 กม./ชม. จนหยุดนิ่งในระยะเพียง 30 เมตร

ในด้านของสมรรถนะการขับขี่มาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ เช่น ระบบเลี้ยวสี่ล้อที่ถูกติดตั้งครั้งแรกบน Aventador S ช่วยเพิ่มความคล่องตัวทั้งในย่านความเร็วต่ำและความมั่นใจในย่านความเร็วสูง ระบบพวงมาลัยแปรผัน Lamborghini Dynamic Steering (LDS) เพื่อคำนวณน้ำหนักพวงมาลัยในการตอบสนองให้ผู้ขับขี่สามารถรับรู้ถึงพื้นถนนและบังคับเลี้ยวได้อย่างมั่นใจ

 

ดีไซน์ของ LP 780-4 Ultimae บริเวณกันชนด้านหน้าออกแบบมาใหม่ เพื่อสร้างแรงกดบริเวณหน้ารถและมีความเพรียวลมเหมือนกับด้านหน้าของ SVJ ระบบควบคุมการทรงตัวถูกปรับจูนให้ตอบสนองได้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อคำนวณแรงยึดเกาะของรถที่มีต่อถนนอย่างละเอียด โดยทำงานควบคู่กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่เน้นการถ่ายกำลังไปที่ล้อหลัง เพื่อการขับขี่ที่สปอร์ตยิ่งขึ้น ระบบต่างๆ ถูกควบคุมด้วยสมองส่วนกลางอย่างระบบ Lamborghini Dinamica Veicolo Attiva (LDVA) ที่จะประมวลผลตลอดเวลาผ่านข้อมูลจากเซ็นเซอร์รอบคัน เพื่อตอบสนองอย่างฉับไวและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้ขีดจำกัด

 

การออกแบบส่วนต่างๆของ LP 780-4 ส่งผลให้หลักอากาศพลศาสตร์ของรถมีความสมดุลอย่างมาก ด้วยรูปแบบกันชนด้านหน้าที่ออกแบบให้รับลมได้มากยิ่งขึ้นเพื่อระบายความร้อนเครื่องยนต์และหม้อน้ำ สอดรับกับกันชนคาร์บอนน้ำหนักเบาด้านหลังช่วยให้รถมีความดุดันและให้อารมณ์มอเตอร์สปอร์ตเช่นเดียวกับในรุ่น SVJ

 

สปอยเลอร์ด้านท้ายสามารถปรับได้สามระดับ  ปิด สมรรถนะทางตรงสูงสุด และสมรรถนะทางโค้งสูงสุด’ - โดยการปรับจะขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่และความเร็วของรถเพื่อช่วยให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ระบบส่งกำลังนั้นเป็นแบบIndependent Shifting Rod (ISR) 7 จังหวะที่ช่วยลดน้ำหนักตัวรถให้เบาและเปลี่ยนเกียร์ได้เร็วเพียงแค่ 0.05 วินาทีเท่านั้น

 

Aventador LP 780-4 Ultimae มีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด – STRADA SPORT CORSA EGO ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของระบบช่วงล่าง เครื่องยนต์ เกียร์ น้ำหนักพวงมาลัย และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ

 

ผลงานชิ้นเอกชิ้นสุดท้าย – Ultimae

Aventador LP 780-4 Ultimae ถูกสร้างมาเพื่อตอกย้ำเส้นสายงานดีไซน์ที่ล้ำลึกและหรูหรา ทั้งยังมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 อันเลื่องชื่อในตำนาน งานออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจจาก SVJ และ S เสริมสร้างให้เกิดความสมดุลระหว่างสมรรถนะและความเรียบหรู

 

ในด้านของการตกแต่งตัวรถนั้นได้มีการเพิ่มสีภายนอกและภายในให้สำหรับเจ้าของรถUltimae โดยเฉพาะ เมื่อร่วมกับเส้นสายของตัวรถที่โดดเด่นของ Ultimae จึงทำให้ตำนานบทใหม่นี้จะคงอยู่เหมือนกับรุ่นก่อนๆ อย่าง Countach Diablo และMurciélago คอลเลคชั่นสีใหม่นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินที่มีสีมาตรฐานมากถึง 18 สีและสามารถเลือกได้สูงสุดถึง 300 กว่าสีสำหรับคอลเลคชั่นของ Ad Personam จึงทำให้เจ้าของรถ Ultimae ทุกคนสามารถสร้างรถในแบบของตัวเองได้ในทุกสไตล์

Aventador LP 780-4 Ultimae คูเป้เปิดตัวในสีเทาทูโทนตัดกับสีแดง Rosso Mimirบริเวณกันชนหน้าและบริเวณครีบด้านหลังของดิฟฟิวเซอร์ สำหรับในรุ่น Aventador LP 780-4 Ultimae โรดสเตอร์ สามารถเลือกหลังคาแบบคาร์บอนไฟเบอร์เป็นออพชั่นได้

สีด้านภายนอกอย่าง Grigio Acheso และ Grigio Teca ถ่ายทอดความหรูหราแต่ยังคงไว้ซึ่งความสปอร์ตรับกับสีภายในด้วยหนังดำตัดกับวัสดุอัลคันทาร่าพร้อมเดินด้ายสีเทา จุดเด่นของ Ultimae บริเวณภายในจะเป็นลายอักษรตัว ‘Y’ ที่ทำการเลเซอร์คัตลงไปบริเวณตัวเบาะและแผงแดชบอร์ด ช่วยเพิ่มมิติภายในรถให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น ตัวเบาะของUltimae จะเป็นเบาะปรับไฟฟ้าที่มาพร้อมคำว่า ‘Ultimae’ บริเวณปีกเบาะ ในขณะที่บริเวณเสาเอตัวรถจะมีการติดตั้งเพลทระบุตัวเลขจำนวนจำกัดของรถ 001 จาก350/250 โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบตัวถังของรถ โดย Aventador LP 780-4 Ultimae coupéผลิตจำกัดเพียง 350 คัน ขณะที่ Aventador LP 780-4 Ultimae Roadster ผลิตจำกัดเพียง250 คันเท่านั้น

 

เจ้าของรถสามารถเลือกสีภายในได้สามสีเป็นมาตรฐาน เช่น สีเงิน สีบรอนซ์ สีขาว และยังมีสีอื่นๆ อีกมากมายในโปรแกรม Ad Personam ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ภายนอกและภายในจะมาเป็นมาตรฐาน โดยด้านนอกจะมาเป็นแบบด้านเพื่อให้รับกับสีด้านของรถ

ล้อ Dianthus 20” และ 21” forged สีเงินเป็นล้อมาตรฐานที่มากับตัวรถและเจ้าของรถสามารถเปลี่ยนสีหรือเปลี่ยนเป็นลายอื่นๆ เช่น Leiron และ Nireo เป็นสีบรอนซ์ ดำ ไทเทเนียม และสามารถเลือกยาง Pirelli PZero Corsa ได้อีกด้วย ภายนอกของตัวรถยังสามารถตกแต่งให้โดดเด่นได้ด้วยลายเส้นตัดกับสีตัวรถ เช่น สีขาว สีเงิน สีบรอนซ์ และสีคาลิปเปอร์เบรกที่มาตรฐานจะมาเป็นสีเงิน และมีทางเลือกสีอื่นอีกมากเพื่อเสริมความดุดันของล้อแบบ centerlock

Aventador LP 780-4 Ultimae Roadster เปิดตัวในสีตัวถังใหม่อย่าง Blu Tawaretและ Blu Nethuns พร้อมหลังคาแบบคาร์บอนเงา

ภายในห้องโดยสารของ Ultimae นั้นครบครันด้วยจอ TFT ที่มีรายละเอียดการขับขี่ครบถ้วนและสามารถควบคุมระบบต่างๆของรถได้โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยพร้อมระบบApple CarPlay เป็นมาตรฐาน มากไปกว่านั้นเจ้าของรถยังสามารถเลือกใส่ออพชั่นอย่าง Lamborghini telemetry ที่ช่วยให้การวิเคราะห์การขับขี่เมื่อลงสนามเป็นเรื่องง่ายอีกด้วย

 

สำหรับราคาเริ่มต้น Aventador LP 780-4 Ultimae coupé อยู่ที่ 42,500,000 บาท และราคาเริ่มต้นของ Aventador LP 780-4 Ultimae Roadster อยู่ที่ 45,900,000 บาท

 

ร่วมสัมผัสความหรูหราโฉบเฉี่ยวของซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่ได้ที่ ลัมโบร์กินี กรุงเทพฯ โชว์รูมและศูนย์บริการครบวงจรขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ถนนวิภาวดีรังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad