เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยความก้าวล้ำของยนตรกรรมแห่งอนาคต จัดงาน“เมอร์เซเดส-เบนซ์ อีคิว เทค เดย์ 2018” พร้อมอวดโฉมรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ “อีคิวเอ” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
0
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำอั นดับหนึ่ง ด้านยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า จัดงาน “เมอร์เซเดส-เบนซ์ อีคิว เทค เดย์ 2018” (Mercedes-Benz EQ Tech Day 2018) เผยความก้าวล้ำของยนตรกรรมแห่ งอนาคตทิศทางของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์อีคิ ว (EQ) พร้อมอวดโฉมรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ “อีคิวเอ” (EQA) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ
มร.โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมื่อมองภาพของอนาคต ‘ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence)’ ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนต่ างให้ความสนใจ ซึ่งเรื่องนี้สามารถประยุกต์ใช้ ได้กับการทำงานทุกด้าน ทั้งการพัฒนาและการผลิตรถยนต์ การขับเคลื่อนยานพาหนะ ตลอดจนการบริการด้านการเดิ นทางและการสื่อสาร สำหรับเดมเลอร์ เราได้ตอบรับต่อการเปลี่ ยนแปลงที่เกิดขึ้น พร้อมได้มีการระดมความคิดเพื่ อพัฒนากลยุทธ์ขึ้นมาใหม่ ที่เกิดจากการนำปัญญาประดิษฐ์ และกระบวนการในการใช้เทคโนโลยี ดิจิทัลมาผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยชื่อว่า ‘เคส’ (CASE)” โดยยนตรกรรมแห่งอนาคตของเมอร์ เซเดส-เบนซ์ จะดำเนินงานตามกลยุทธ์ ‘CASE’ ที่มาจากรากฐานแนวคิดใหม่ 4 ประการ ได้แก่ Connected Autonomous Shared & Service และ Electric Drive ที่ทางบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อปรั บเปลี่ยนการใช้เครื่องยนต์สั นดาปภายในมาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าอย่ างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้เมอร์ เซเดส-เบนซ์ กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นแบรนด์ รถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียเลย”
ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ วิศวกรของเมอร์เซเดส-เบนซ์มุ่ งมั่นในการคิดค้นนวัตกรรมเพื่ อสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ความยั่ งยืนแห่งอนาคต โดยในปี พ.ศ.2552 รถยนต์คันแรกของโลกที่มีการขั บเคลื่อนแบบไฮบริด พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเป็ นอุปกรณ์มาตรฐาน ได้ถือกำเนิดขึ้น ในชื่อว่า S 400 HYBRID ซึ่งเป็นยานยนต์ที่ใช้เครื่ องยนต์เบนซิน และมีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำ มันเชื้อเพลิงสูงสุดเพียง 7.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ ซาลูนระดับพรีเมี่ยมที่ลดปริ มาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ยอดเยี่ยมที่สุดของโลกอีกด้วย ต่อมาในปีพ.ศ.2555 ระบบส่งกำลังไฮบริดเจเนอเรชั่ นที่ 2 ได้รับพัฒนาขึ้นด้วยการใช้พื้ นฐานของระบบส่งกำลังแบบเกียร์อั ตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะ 7G-TRONIC PLUS ซึ่ง E 300 BlueTEC HYBRID นับเป็นยนตรกรรมระดับพรีเมี่ ยมที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลไฮบริ ดรุ่นแรก ด้วยการผสานประสิทธิภาพของเครื่ องยนต์ดีเซลเข้ากับการขับเคลื่ อนแบบไฮบริด ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นผู้กำหนดเป้าหมายใหม่สำหรั บการพัฒนายานยนต์ และบรรลุถึงความก้าวหน้ าในการทำให้การสิ้นเปลืองน้ำมั นเชื้อเพลิงในรถยนต์นั่งแบบซาลู นระดับพรีเมี่ยม ต่ำเพียง 4 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้มีบทบาทต่อการขับเคลื่อนสู่ อนาคตมากยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนายนตรกรรมแบบ PLUG-IN HYBRID ที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุ ดในทุกรูปแบบการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ด้ วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเต็มรู ปแบบเมื่อขับขี่ภายในเมือง หรือการขับขี่แบบไฮบริดที่ ผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่ องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้ วยกัน เพื่อให้ได้ทั้งความประหยั ดและการตอบสนองที่รวดเร็ว พร้อมมอบสุนทรียะทุกครั้งที่ขั บขี่
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้มีบทบาทต่อการขับเคลื่อนสู่
มร.โรลันด์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “รถยนต์ภายใต้แบรนด์ EQ ของเราเป็นมากกว่าแค่รถยนต์ไฟฟ้ า แต่เป็นระบบนิเวศไฟฟ้าที่ ครอบคลุมทั้งด้านการบริการ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยภายใน ปีพ.ศ. 2565 บริษัทฯ จะผสานระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ าเข้ากับรถยนต์ของเมอร์เซเดส- เบนซ์อย่างทั่วถึง เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกที่เป็ นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า อย่างน้อย 1 รุ่นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่รถยนต์จากแบรนด์สมาร์ ทไปจนถึงรถยนต์อเนกประสงค์ ขนาดใหญ่ รวมถึง บริษัทฯ กำลังวางแผนจะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้ ามากกว่า 50 รุ่นย่อยอีกด้วย”
“ซึ่งในวันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ยุ คใหม่ กับการนำรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ เมอร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซ็ปต์ อีคิวเอ มาอวดโฉมที่เมืองไทย โดยรถยนต์รุ่นนี้จะแสดงให้เห็ นถึง กลยุทธ์อีคิวที่จะถูกนำมาใช้ ในรถยนต์กลุ่มคอมแพค ที่โดดเด่นด้วยการผสานความคล่ องตัวอันน่าประทับใจเข้ากั บระยะทางในการขับขี่ที่ยาวไกล ซึ่งเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการขั บขี่ในชีวิตประจำวัน ที่ใช้สถาปัตยกรรมซึ่งพัฒนาขึ้ นเพื่อรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้ วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่”
การดีไซน์รถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Benz Concept EQA รุ่นนี้เป็นผลจากการนำปรั ชญาการออกแบบ Sensual Purity ของเรามาตีความใหม่ โดยลดองค์ประกอบที่เป็นสัน และเส้นออกไป เพื่อเผยสัดส่วนที่น่าตื่ นตารวมถึงพื้นผิวที่ราบลื่นไร้ รอยต่อ เมื่อผสานกับกราฟิกเร้าอารมณ์ที่ เกิดจากการใช้แผงด้านหลั งแบบไฮเทคสีดำ บ่งบอกถึงความเป็นที่สุ ดของการออกแบบที่โดดเด่น ทำให้รถยนต์คันนี้ดูมีเสน่ห์อย่ างแท้จริง ซึ่งรถยนต์คันนี้ได้เพิ่ มความสวยงามภายนอก ด้วยเทคโนโลยีไฟส่องสว่างที่ โดดเด่นด้วยเลเซอร์ ไฟเบอร์ โดยที่ตัวกลางซึ่งถูกกระตุ้นด้ วยแสงเลเซอร์ได้ถูกฝังไว้ ในแกนกลางของเคเบิ้ลใยแก้วไฟรู ปทรงขดเกลียวเล็กๆ สวยสะดุดตาช่วยเน้นย้ำแนวคิ ดของรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งด้วยการออกแบบที่ชวนให้นึ กถึงขดลวดทองแดงในมอเตอร์ไฟฟ้า และภาพการเคลื่อนไหวที่ให้ มโนภาพถึงการเคลื่อนที่ ของกระแสไฟฟ้า และด้วยโหมดการทำงานแบบอัจฉริ ยะของเมอร์เซเดส-เบนซ์ รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ คอนเซ็ปท์ อีคิวเอ สามารถวิ่งได้เป็นระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจุ ของแบตเตอรี่ที่ติดตั้งเอาไว้ด้ วย ซึ่งแบตเตอรี่ลิเธียม- ไอออนประสิทธิภาพสูงนี้ เป็นแบบเซลล์กระเป๋า (Pouch Cell) ที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทย่ อยของเดมเลอร์ คือ บริษัท ดอยท์ช แอคคิวโมทิฟ ซึ่งผลจากการออกแบบในแบบโมดู ลาร์ ทำให้ระบบแบตเตอรี่ชนิดนี้มี ความจุรวมเฉพาะรุ่นมากกว่า 60 kWh
สำหรับในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำการตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ภายใต้ชื่อว่า ‘EQ Power’ ซึ่งหลังจากที่เราแนะนำรถยนต์ ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกไปเมื่อต้ นปี พ.ศ. 2559 ทางบริษัทฯ ได้มีการแนะนำรถยนต์รุ่นอื่นๆ ตามมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นอี กหนึ่งทางเลือกให้แก่ลูกค้า
นอกจากการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ แล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการสร้ างระบบนิเวศไฟฟ้าที่ครอบคลุมทุ กความต้องการของกลุ่มลูกค้า ทั้งในด้านการผลิต และการบริการเพื่อเสริมสร้ างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค ด้วยการสร้างโรงงานแบตเตอรี่ ในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายการผลิ ตแบตเตอรี่ทั่วโลกของเมอร์ เซเดส-เบนซ์ คาร์ส โดยจะผลิตเพื่อรองรับความต้ องการในประเทศ และเพื่อส่งออก เดมเลอร์ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 1,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (กว่า 1 พันล้านยูโร) ในเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ดั งกล่าว ซึ่งยังมีโรงงานทั้งในเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และจีนอีกด้วย เครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่นี้ จะตอบสนองความต้องการในตลาดอย่ างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพเช่ นเดียวกับการผลิตรถยนต์ ซึ่งกลยุทธ์นี้จะทำให้มี เทคโนโลยีแบตเตอรี่อันทันสมั ยจากศูนย์กลางการผลิตในแต่ละพื้ นที่ ทั้งยุโรป จีน และสหรัฐอเมริกาไว้พร้อมรองรั บการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มขี ดความสามารถในการแข่งขันของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้แข็งแกร่งยิ่ งขึ้นตามแผนงานรถยนต์ไฟฟ้ าของบริษัท ทั้งนี้ โรงงานผลิตแบตเตอรี่ ในประเทศไทยมีแผนจะเริ่มเดิ นสายการผลิตภายในปีพ.ศ. 2562
อีกหนึ่งแผนการตลาดสำคัญที่ เรากำลังดำเนินการอยู่ คือการสร้างเครือข่ายขยายจุดติ ดตั้ง สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลู กค้าตามไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ เริ่มเปลี่ยนไป โดยลูกค้ ามองหาความสะดวกสบายในการชาร์ จรถยนต์มากขึ้น นอกจากการชาร์จรถยนต์ที่บ้าน ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ห้างสรรพสินค้า หรือตามโรงแรม เป็นต้น โดยเราวางแผนที่จะสร้างสถานี ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งสิ้นกว่ า 200 จุด ครอบคลุมทั้งผู้จำหน่ายอย่างเป็ นทางการทั้ง 32 แห่ง ทั่วประเทศ โรงแรมชั้นนำในเครือ Marriott International, Minor Hotels และ Hilton และศูนย์การค้าชั้นนำ อาทิ สยามเซ็นเตอร์, เซ็นทรัลเวิลด์, พาราไดซ์ พาร์ค นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้เดินหน้าวางแผนเพิ่มสถานี ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอีกหลายแห่ งในอนาคตเพื่อรองรับความต้ องการที่มากขึ้นของรถยนต์แบรนด์ EQ Power
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น