สำหรับแหล่งผลิตสับปะรดโรงงานส่วนใหญ่ร้อยละ 67 อยู่ที่ภาคกลาง รองลงมาคือ ภาคเหนือ ร้อยละ 21 โดยจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตสำคัญคือ ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี ระยอง เพชรบุรี พิษณุโลก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคามีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2562 แต่โรงงานแปรรูปยังต้องผลิตตามภาวะตลาดโลกที่ยังชะลอตัว ส่งผลให้ราคายังคงมีความผันผวนสูง
ดังนั้น จึงอยากแนะนำเกษตรกรพิจารณาวางแผนเพาะปลูก และไม่ควรขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดที่อยู่ไกลโรงงานแปรรูปสับปะรด เพราะอาจส่งผลต่อผลผลิตปีถัดไป เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด กระทบราคาขายเช่นที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม หากจังหวัดห่างไกลที่ตั้งโรงงานแปรรูป แต่มีศักยภาพผลิตเพื่อส่งเข้าโรงงาน เกษตรกรควรทำสัญญาข้อตกลงซื้อขายกับโรงงาน ส่วนจังหวัดที่มีศักยภาพผลิตสับปะรดบริโภคสด ควรลดพื้นที่ปลูกสับปะรดโรงงานในพื้นที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ เกษตรกรควรผลิตตามหลัก GAP และขึ้นทะเบียนเกษตรกร รวมถึงเข้าร่วมโครงการเกษตรแปลงใหญ่ให้มากขึ้นโดยหน่วยงานภาครัฐ ส่งเสริมการผลิตสับปะรดสดแบบแปลงใหญ่และส่งเสริมการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ช่วยกระจายความเสี่ยง
รองเลขาฯสศก.กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน นอกจากภาครัฐมีนโยบายด้านการผลิต โดยส่งเสริมการผลิตตามพื้นที่ Agri-Map การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ การผลิตพันธุ์สับปะรดบริโภคสด และการทำเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) ให้เป็นรูปธรรมแล้ว ด้านการแปรรูป ยังเร่งศึกษาลู่ทางลงทุนด้านอุตสาหกรรมแปรรูปสับปะรดด้านนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ความงาม การเพิ่มมูลค่าจากใบสับปะรดด้วยการผลิตเป็นเส้นใย การผลิตสารสกัดจากสิ่งเหลือใช้อีกด้วย ขณะเดียวกัน เร่งขยายตลาดส่งออกสับปะรดสดและผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าบนสื่อออนไลน์ www.thaitrade.com ส่งเสริมการรวบรวม จำหน่ายผ่านกลไกรูปแบบประชารัฐ ตลอดจนรณรงค์บริโภคสับปะรดและผลิตภัณฑ์ภายในประเทศให้มากขึ้น ทำให้เกษตรกรมีทางเลือกในการผลิตเพิ่มขึ้นแทนการพึ่งพาการผลิตเพื่อส่งเข้าโรงงานแปรรูปอย่างเดียว ซึ่งช่วยลดปัญหาผลผลิตสับปะรดโรงงานล้นตลาดได้อีกทางหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น