เอกชนวอนการเมืองนิ่ง สร้างความเความเชื่อมั่นนักลงทุน
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) เปิดเผยว่าที่ประชุมประเมินแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจปี 2563 ยังขาดแรงหนุนให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงต่อเนื่อง ความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย
นอกจากนี้ ยังมีความล่าช้าของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ทำให้ภาครัฐไม่เกิดการลงทุนและยังเป็นข้อจำกัดหากรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ดังนั้นภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ กกร.เห็นว่ารัฐบาลควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เพื่อให้เศรษฐกิจไตรมาส 4/2562 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1/2563 และยังสามารถรักษาระดับการเติบโตของเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวไปมากกว่านี้
“กกร.มองทิศทางเศรษฐกิจไทยขณะนี้น่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว คาดว่าในระยะข้างหน้าปี 2563 เศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้น เพราะจะมีการพิจารณาอนุมัติงบประมาณปี 2563 และสามารถเบิกจ่ายได้ ขับเคลื่อนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญ เห็นได้จากนักลงทุนหลายประเทศสนใจเข้ามาลงทุนในไทย โดยมีคำขอรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) แล้ว คาดว่าจะเกิดการลงทุนและผลิตจริงในบางโรงงาน ทำให้เกิดการจ้างแรงงานในประเทศ” นายกลินท์กล่าว
ส่วนทิศทางค่าเงินบาทของไทยต้องยอมรับคงไม่มีโอกาสที่จะกลับไปอยู่ในระดับ 34-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่มองว่าน่าจะอยู่ในระดับประมาณ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นภาคเอกชนคงต้องมาหารือกันว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอด โดยสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้าและบริการ เช่น ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บริการดูแลผู้สูงอายุ โปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวผ่านธุรกิจสร้างภาพยนตร์ เป็นต้น และขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) เพราะหากยังปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องจะส่งผลกระทบในระยะยาว
อย่างไรก็ด ีแม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าแต่หากการเมืองในประเทศนิ่งและมีเสถียรภาพ นักลงทุนก็จะมีความมั่นใจเข้ามาลงทุน เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง มีเงินทุนสำรองจำนวนมาก ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวยังเติบโตดี คาดปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในไทยประมาณ 40 ล้านคน โดยเฉพาะจากประเทศจีนไม่น่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ไทยยังมีการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี(กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคไปเวียดนามที่ยังมีความต้องการ ดังนั้นภาครัฐควรช่วยอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนต่างๆ ให้มากขึ้น
“กกร.ยังคงประมาณการจีดีพีปีนี้อยู่ที่ 2.7-3% ส่งออก -2 ถึง 0 และเงินเฟ้อ0.8-1.2% ส่วนการประมาณการในปี 2563 จะมีการพิจารณาในการประชุมเดือนหน้า” นายกลินท์กล่าว
ส่วนนโยบายปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำนั้น หากภาครัฐมีนโยบายการปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการทันที ในทางกลับกันจะสร้างแรงกดดันให้ผู้ประกอบการนำเข้าเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาแทนแรงงานมากขึ้นส่งผลกระทบต่อแรงงานที่ไม่มีทักษะที่อาจถูกเลิกจ้าง ดังนั้นภาครัฐควรมาตรการสนับสนุนให้มีแรงงานทักษะโดยเร็ว และศึกษาผลกระทบในระยะยาวให้รอบด้าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น