รัฐมนตรีพลังงาน มอบนโยบาย ปตท. ศึกษาชะลอการผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย และหันไปนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)ที่ยังอยู่ในช่วงที่มีราคาถูกแทน หวังยืดอายุปริมาณสำรองก๊าซในประเทศไว้ให้ใช้ได้นานขึ้น
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายให้ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)ไปศึกษาแนวทางการชะลอการผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย และให้หันไปซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)จากต่างประเทศในช่วงนี้ทดแทน เนื่องจากLNG ในตลาด มีราคาถูกลงมาก โดยหากศึกษาแล้วพบว่าราคา LNG ถูกกว่าที่ผลิตได้ในประเทศ ก็ควรใช้โอกาสดังกล่าวสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ เพื่อรักษาทรัพยากรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยไว้ใช้ในระยะยาวต่อไป
นอกจากนี้เป้าหมายที่กระทรวงพลังงานต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง(ฮับ)ซื้อขายก๊าซ LNG ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2563 นั้น ก็ได้ให้ ปตท.ไปศึกษาดูว่า หากอาศัยจังหวะที่ราคา LNG ตลาดโลกถูก และซื้อเข้ามาใช้และส่งออก แทนการผลิตก๊าซฯในประเทศ จะเหมาะสมหรือไม่
สำหรับความคืบหน้าในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลัก (Global DCQ) ระหว่าง ปตท.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่จะนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ระยะยาวประมาณ 10 ปีนั้น ขณะนี้ทั้งฝ่าย ปตท.และ กฟผ.ได้ยอมรับข้อเสนอระหว่างกันแล้ว ซึ่งคาดว่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ระบุถึงการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย ในปี2562 มีปริมาณเฉลี่ย 5,034 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยเป็นการจัดหาได้จากอ่าวไทยมีการผลิตอยู่ที่ 3,619 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากเมียนมาผ่านท่อส่งก๊าซ และนำเข้าLNG รวม1,416ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยปตท.มีสัญญาระยะยาวในการนำเข้า LNG อยู่ที่ 5.2 ล้านตัน ต่อปี
ทั้งนี้ นโยบายของนายสนธิรัตน์ ที่จะให้ลดการรับซื้อก๊าซจากอ่าวไทยนั้น สามารถทำได้ เนื่องจากที่ผ่านมา มีการเรียกซื้อก๊าซเพิ่มมากกว่าสัญญาขั้นต่ำที่ทำไว้กับผู้รับสัมปทานแหล่งก๊าซในอ่าวไทยอยู่แล้ว โดยปริมาณรับซื้อก๊าซที่ลดลง จะถูกทดแทนด้วย LNG ที่เป็นสัญญาระยะยาวของปตท.ที่มีอยู่ 5.2ล้านตันต่อปีก่อน และหากยังมีช่องว่างเหลือ จึงจะถูกเติมด้วย LNG ในแบบตลาดจร หรือSPOT ที่มีราคาถูก
อย่างไรก็ตาม การลดปริมาณการผลิตก๊าซในอ่าวไทย ลงจะมีผลให้รัฐจัดเก็บรายได้จากค่าภาคหลวงลดลงด้วย
ที่มา:Energy New Center-ENC
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น