อินโดรามา เวนเจอร์ส รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2563 - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

อินโดรามา เวนเจอร์ส รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2563

อินโดรามา เวนเจอร์ส รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2563

สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2563

บริษัทฯ รายงานรายได้เติบโตร้อยละ 15 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2562 และลดลงร้อยละ 3 เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันปีก่อน ซึ่งรวมการบูรณาการกิจการที่เข้าซื้อใหม่จากบริษัท Huntsman สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก และราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของธุรกิจและการดำเนินงานของไอวีแอล
บริษัทฯ มีกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) จำนวน 304 ล้านเหรียญสหรัฐ (9.5 พันล้านบาท) และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานจำนวน 340 ล้านเหรียญสหรัฐ (10.6 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 51 และร้อยละ 28 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากปริมาณการผลิตและกำไรที่เติบโตของธุรกิจในแนวดิ่งทั้ง 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจ Combined PET ธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives และธุรกิจเส้นใย บริษัทฯ ดำเนินการเชิงรุกในการลดปริมาณสินค้าคงเหลือ และลดรายจ่ายเพื่อการได้มาของสินทรัพย์จำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ (9.34 พันล้านบาท) และบรรลุเป้าหมายลดต้นทุนภายใต้โครงการ Olympus บริษัทฯ มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่อัตราคงที่ที่ 0.175 บาท สอดคล้องกับไตรมาสที่แล้ว Core EPS มีการเติบโตอยู่ที่ 0.25 บาท
ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงาน 148 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 17 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจากผลกระทบระยะสั้นในธุรกิจ MEG และธุรกิจ MTBE ซึ่งได้รับการชดเชยบางส่วนจากการปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจ PIA และ PX การปิดปรับปรุงที่เป็นไปตามแผนของธุรกิจ PO/MTBE ส่งผลกระทบต่อกำไรประมาณ 51 ล้านเหรียญสหรัฐ กลุ่มธุรกิจเส้นใยได้รับผลกระทบบางส่วนจากมาตราการ lockdown ในประเทศจีน อินเดียและอิตาลี กลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นใยสำหรับยานยนต์ได้รับแรงกดดันจากการถดถอยของ GDP ในไตรมาสนี้สร้างแรงบวกให้กับกลุ่มธุรกิจเส้นใยเพื่อสุขอนามัย และสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจ Integrated PET ทั้งในแง่ปริมาณการผลิตและกำไร รวมทั้งการบริหารซัพพลายเชนในระดับภูมิภาคในช่วงนี้ที่ปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้น
ในช่วงเวลาที่มีความยุ่งยากของสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ผลการดำเนินงานของไอวีแอลแสดงให้เห็นถึงความพร้อมรับมือในสถานการณ์ด้วยภูมิศาสตร์การดำเนินงานในระดับภูมิภาค การมีส่วนแบ่งการตลาด และการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบ
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าว “Core EBITDA ของไอวีแอลมีการเติบโตใน 3 กลุ่มธุรกิจ (ธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives ธุรกิจ Combined PET และธุรกิจเส้นใย) และในทุกภูมิภาค เนื่องจากผลิตภัณฑ์หลักของเราถูกนำไปผลิตเป็นสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันและสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีอายุการใช้งานสั้นและมีปริมาณความต้องการ บริษัทฯ มีสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยกระแสเงินสด 600 ล้านเหรียญสหรัฐและมีวงเงินที่สามารถใช้ได้จำนวน 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งสิ้น 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นปัจจุบันเรามีธุรกิจในแนวดิ่ง 3 ธุรกิจและกลุ่มธุรกิจย่อย 10 กลุ่ม ซึ่งทำงานประสานร่วมกันอย่างดี กลุ่มธุรกิจนี้ส่งผลให้ไอวีแอลมีการบูรณาการมากยิ่งขึ้นด้วยกระแสรายได้ที่หลากหลาย ผลิตภัณฑ์ของเรามีการใช้งานในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบกับขนาดของธุรกิจ จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับตัวและโอกาสให้กับไอวีแอล
โครงการ Olympus อยู่ในระหว่างการดำเนินการตามแผน และคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนได้ 76 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปีนี้ บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นที่แผนงานเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญทั้ง 5 ข้อ (การพัฒนาต้นทุน การใช้สินทรัพย์เต็มศักยภาพ การเติบโตในธุรกิจใกล้เคียง การเป็นผู้นำในธุรกิจรีไซเคิล และการพัฒนาความเป็นผู้นำ) ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นต่อความยั่งยืนในระยะยาว”
เกี่ยวกับ อินโดรามา เวนเจอร์ส
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Bloomberg ticker IVL.TB) เป็นหนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำระดับโลก มีโรงงานผลิตครอบคลุมภูมิภาคหลักทั่วโลก ได้แก่ แอฟริกา เอเชีย ยุโรปและอเมริกา โดยมีกลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจ Integrated PET ธุรกิจโอเลฟินส์ ธุรกิจเส้นใย ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemicals) ผลิตภัณฑ์ของไอวีแอลรองรับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคล และอุตสาหกรรมยานยนต์ อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางในรถยนต์และผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย ปัจจุบันบริษัทฯ มีพนักงานทั่วโลกราว 24,000 คนและมีรายได้จากการขายรวม 11.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 บริษัทฯ เป็นสมาชิกดัชนีดาวโจนส์ (DJSI) และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทยและมีโรงงานทั่วโลก อันได้แก่
ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี เดนมาร์ก ลิทัวเนีย โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก ลักเซมเบิร์ก สเปน ตุรกี ไนจีเรีย กานา โปรตุเกส อิสราเอล อียิปต์ รัสเซีย สโลวาเกีย ออสเตรีย
อเมริกา: สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก แคนาดา บราซิล
เอเชีย: ไทย อินโดนีเซีย จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ ออสเตรเลีย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad