ปี 2563 ถือเป็นปีที่โลกต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะที่มีบทบาทในการส่งเสริมการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวมให้เดินหน้าต่อไป พร้อมขับเคลื่อนการส่งเสริมการลงทุน ด้วยการปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์เช่น การออกมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขหลายๆด้านที่จะให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งออกมาตรการส่งเสริมกิจการเครื่องมือแพทย์ และชิ้นส่วน เพื่อเร่งรัดการผลิตโดยเร็ว รองรับสถานการณ์ความต้องการใช้ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 สำหรับทั้งวงการแพทย์และประชาชน
ในด้านการลงทุนไทยในต่างประเทศนั้น หลังจากได้จัดตั้งหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศใหม่ 2 แห่ง คือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ กรุงฮานอย และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ณ กรุงจาการ์ตา เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริม ให้คำปรึกษา ให้บริการข้อมูล แก้ไขปัญหา และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการไทยที่ไปลงทุนใน 2 ประเทศนี้อย่างครบวงจร เพราะตระหนักดีว่าการส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ ต้องบูรณาการหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
แม้ในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สำนักงานทั้งสองแห่งนี้ยังมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือ คอยประสานงานด้านการลงทุนของนักลงทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่นเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานบีโอไอที่ฮานอย ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับบริษัท CR Asia ซึ่งเป็นบริษัทของไทยที่เข้าไปทำธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม การซ่อมบำรุงเครื่องจักรโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในประเทศเวียดนาม โดยได้รับสัญญาการซ่อมบำรุงประจำปีจากโรงกลั่นน้ำมัน หงี่ เซิน (Nghi Son) จังหวัดแทง หวา (Thanh Hoa) ในภาคเหนือตอนล่างของเวียดนาม ให้สามารถเข้าไปซ่อมบำรุงเครื่องจักรในโรงงานดังกล่าวได้เป็นเวลา 2 เดือน แม้ในภาวะที่ทางการเวียดนามค่อนข้างเข้มงวดมากในการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ
โดยสำนักงานบีโอไอ ณ กรุงฮานอย ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งที่เวียดนาม และไทยเพื่อให้พนักงานของ CR Asia เข้าไปทำงานที่เวียดนามได้ทันตามกำหนด ตั้งแต่การประสานงานกับสถานทูตเวียดนาม และกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม (MoIT) เวียดนาม ดำเนินการออกวีซ่าทำงานให้กับพนักงาน ได้แก่ ช่างเทคนิค และวิศวกร จำนวน 108 คน เพื่อให้สามารถเข้ามาทำงานในเวียดนามได้
สำหรับโรงกลั่นน้ำมัน หงี่ เซินแห่งนี้ ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศเวียดนาม หลังจากปี 2562 เวียดนาม ได้ยุติการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป เนื่องจากสามารถกลั่นน้ำมันได้เองอย่างเพียงพอจากโรงกลั่นแห่งนี้ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งกรณีที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนให้เดินหน้าต่อไป แม้จะเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก บีโอไอได้ดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถฝ่าวิกฤตโควิดครั้งนี้ไปได้
ทั้งนี้ปัจจุบันฐานการลงทุนสำคัญของไทยส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคอาเซียน และกำลังขยายไปในกลุ่มประเทศเอเชียใต้เช่น อินเดีย บังคลาเทศ และศรีลังกา เป็นต้น โดยอุตสาหกรรมหลักที่นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศมากที่สุดได้แก่ อุตสาหกรรมก่อสร้าง รองลงมาคืออุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมพลังงานและพลังงานทดแทน โดยนักลงทุนไทยมีการลงทุนในเวียดนามและกัมพูชามากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ เมียนมา และ สปป.ลาว
ที่มา สยามรัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น