แม็คกรุ๊ป แจงผลประกอบการ Q3/63 รายได้จากการขาย 744 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น อยู่ที่ 57.1% อัตรากำไรสุทธิ 10.4% หลังเดินหน้าคุมเข้มต้นทุน-ลดค่าใช้จ่าย ยืนยันภาพรวมทั้งปี 2563 กำไรสุทธิเติบโตจากปีก่อน
นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “MC” ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องแต่งกายและไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “แม็คยีนส์” บอกว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2563 (ม.ค.-มี.ค.63) บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 744 ล้านบาท ปรับลดลง 14.3% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามการชะลอตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมค้าปลีก ที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อช่องทางจำหน่ายออฟไลน์ของบริษัทฯ โดยเฉพาะสาขาและจุดจำหน่าย (Point of sale) ในศูนย์การค้า และห้างสรรพสินค้า ที่ต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามนโยบายรัฐบาล เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของรายได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 บริษัทฯมีรายได้ 565.3 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 11.9% เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือนแรกรอบปีบัญชี 2563 (ก.ค.62-มี.ค.63) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,633 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน
โดยหลังจากต้องปิดให้บริการ Point of sale ตามนโยบายของรัฐบาล บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ปรับไลน์การผลิต เพิ่มหน้ากาก และหมวกป้องกันเชื้อโรค พร้อมรุกหนักช่องทางการจำหน่ายออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้นราว 76% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 84 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2563 ไว้ได้ที่ระดับ 57.1% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 บริษัทฯมีรายได้ 565.3 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 11.9% เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือนแรกรอบปีบัญชี 2563 (ก.ค.62-มี.ค.63) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,633 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน
โดยหลังจากต้องปิดให้บริการ Point of sale ตามนโยบายของรัฐบาล บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ปรับไลน์การผลิต เพิ่มหน้ากาก และหมวกป้องกันเชื้อโรค พร้อมรุกหนักช่องทางการจำหน่ายออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้นราว 76% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 84 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2563 ไว้ได้ที่ระดับ 57.1% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน
นางชนัญญารักษ์ บอกเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ได้ควบคุมต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น (SG&A) โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารไตรมาส 3 รอบปีบัญชี 2563 อยู่ที่ 336 ล้านบาท ปรับลดลงเกือบ 10% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีอัตรากำไร EBITDA (EBITDA Margin) อยู่ที่ระดับ 15.6% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 10.4% ซึ่งบริษัทฯ ยังมั่นใจว่า ภาพรวมทั้งปี 2563 จะสามารถทำกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น เทียบจากงวดปี 2562 ที่ทำได้ 306 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกปี 2563 บริษัทฯมีกำไรสุทธิแล้ว 369 ล้านบาท
“บริษัทฯ มองว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเป็นการชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อยอดขายในช่วงไตรมาส 3 บ้าง แต่มั่นใจว่า หลังสถานการณ์คลี่คลายลง ความต้องการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค จะพลิกกลับมาเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยชดเชยการชะลอตัวลงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้” นางชนัญญารักษ์ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น