สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) ประกาศผลงานไตรมาสแรกปี 2563 กำไรโตสวยกว่า 72% อยู่ที่ 146 ลบ. ยอดขายทำได้กว่า 945 ลบ. โต 21% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากออเดอร์ลูกค้าในแถบเอเชียใต้กลับเข้ามา และยอดขายในสหรัฐฯ ยังคงมีต่อเนื่อง “สุรศักดิ์ เอิบสิริสุข” เอ็มดี มั่นใจผลงานทั้งปีโต 30% ได้ตามแผนเดิม เหตุคำสั่งซื้อจากทุกตลาดทั่วโลกยังขยายตัวต่อเนื่องจากความจำเป็นต้องใช้แก๊สในชีวิตประจำวัน ประกอบกับราคาแก๊สที่ถูกลง และลูกค้าที่ชะลอตัวเมื่อปีก่อนเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 มีเพียงเล็กน้อย จากการขนส่งสินค้าให้ลูกค้าในแต่ละประเทศเท่านั้น ส่วนแผนการลงทุนในต่างประเทศชะลอการเจรจาออกไปก่อน รอสถานการณ์โควิด-19 กลับสู่สภาวะที่ดีขึ้น
นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ผู้ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดัน ผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMPC” เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทงวดไตรมาส 1/2563 มียอดขายอยู่ที่ 945.05 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 779.23 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 165.82 ล้านบาท หรือ 21.3% เนื่องจากลูกค้าในแถบเอเชียใต้ที่ชะลอการสั่งซื้อในช่วงปีก่อน เริ่มกลับมาสั่งซื้อบางส่วนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงมีต่อเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 146.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.40 ล้านบาท หรือ 72.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 84.92 ล้านบาท เนื่องจากยอดขาย อัตราการทำกำไร และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น โดยสุทธิกับค่าใช้จ่ายในการขายและภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น
“ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจ โดยกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 210.16 ล้านบาท โตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 67.72 ล้านบาท หรือ 47.5% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 18.3% เป็น 22.2% เนื่องจากราคาเหล็กในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ขณะที่รายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น 56.6% เนื่องจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง จากการชำระหนี้จากลูกหนี้การค้า และจากค่าขายเศษเหล็ก ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้น” นายสุรศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่กระจายทั่วโลกอยู่ขณะนี้ บริษัทได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยในเรื่องของการขนส่งสินค้า ซึ่งมีความล่าช้าจากการปิดในบางประเทศเพื่อเฝ้าระวังการแพร่กระจายในวงกว้าง ทำให้การขนส่งต้องใช้เวลานานขึ้น แต่โดยรวมยังสามารถส่งออเดอร์ลูกค้าได้ตามกำหนดเวลา อีกทั้ง ตอนนี้คนทั่วโลกต้องกักตัวอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ปริมาณการใช้แก๊สของแต่ละครอบครัวเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นต่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน ประกอบกับราคาแก๊สที่ถูกลง ทำให้ความต้องการถังแก๊ส เพื่อหมุนเวียนในตลาดมีมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปี 2563 มั่นใจว่ายอดขายจะเติบโต 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจุบัน สัดส่วนยอดขายของบริษัทกว่า 95% เป็นการส่งออก ซึ่งเบื้องต้นปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถจำหน่ายถังแก๊สได้ประมาณ 7 ล้านใบ ทำสถิติสูงสุดใหม่ จากกำลังการผลิตทั้งหมดที่บริษัทสามารถทำได้คือ 10 ล้านใบต่อปี
ในส่วนของแผนการลงทุนในต่างประเทศ บริษัทฯได้พิจารณาชะลอการเจรจาการลงทุนออกไปก่อน โดยยังไม่มีแผนล้มเลิกการขยายการลงทุน รอสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 กลับสู่สภาวะที่ดีขึ้น โดยโรงงานนี้ถือเป็นการขยายการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตถังแก๊สเป็นครั้งแรกของบริษัทฯ กำลังการผลิต 2.5 ล้านใบต่อปี มูลค่าการลงทุนประมาณ 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างแผนการจัดหาที่ดินที่เหมาะสม และแผนงานส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง
“ยอมรับว่า แผนการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศในตอนนี้ บริษัทฯ ขอชะลอเพื่อประเมินความเสี่ยงการเข้าลงทุนในช่วงนี้อย่างรัดกุม หากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย ค่อยหารือประเมินความเสี่ยงกันอีกครั้ง ตอนนี้เรามองว่าการรักษาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทฯ น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” นายสุรศักดิ์ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น