เอ็นไอเอปั้นนักมองอนาคตนิวเจนผ่าน “ครีเอทีฟคอนเทสต์ 2020” ดึงไอเดียคนรุ่นใหม่กำหนดภาพอนาคตประเทศไทย สรรค์สร้างเมืองจินตนาการสู่ความจริง - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เอ็นไอเอปั้นนักมองอนาคตนิวเจนผ่าน “ครีเอทีฟคอนเทสต์ 2020” ดึงไอเดียคนรุ่นใหม่กำหนดภาพอนาคตประเทศไทย สรรค์สร้างเมืองจินตนาการสู่ความจริง

เอ็นไอเอปั้นนักมองอนาคตนิวเจนผ่าน “ครีเอทีฟคอนเทสต์ 2020” ดึงไอเดียคนรุ่นใหม่กำหนดภาพอนาคตประเทศไทย สรรค์สร้างเมืองจินตนาการสู่ความจริง

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับหน่วยงานเครือข่าย ได้แก่ สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยศิลปากร สถาบันนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยพะเยา เทคโนธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผลักดันนักมองอนาคตรุ่นใหม่ผ่านกิจกรรมประกวดวิดีทัศน์ด้านมุมมองอนาคต หรือ NIA Creative Contest 2020 ภายใต้แนวคิด “FUTURELAND” โดยปีนี้ขยายครอบคลุม 4 ภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่และบุคคลทั่วไปได้สร้างสรรค์และนำเสนอแนวคิดด้านมุมมองอนาคตในรูปแบบของวีดีทัศน์ ที่สามารถสื่อถึงภาพความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ในอนาคตที่จะส่งผลกระทบต่อผู้คน ชุมชน วิถีชีวิต และการพัฒนาพื้นที่ เป็นภาพอนาคตที่คนรุ่นใหม่อยากให้เป็น

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันการมองอนาคตมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นกับการพัฒนาประเทศ โดยที่ผ่านมามักจะดำเนินการเฉพาะในกลุ่มนักวิชาการและหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว NIA เห็นว่าการมองนาคตจะสมบูรณ์แบบได้มากขึ้นจำเป็นจะต้องมี 3 สิ่งหลักคือ 1. ความเป็นไปได้และสมมติฐานเกี่ยวกับอนาคต 2. คนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ และ 3. สื่อใหม่ที่จะเป็นช่องทางการเผยแพร่แนวความคิด ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญในการพัฒนาและสร้างอนาคตให้ชัดเจน และเข้าใจง่ายขึ้น
เพื่อให้ภาพนวัตกรรมในอนาคตสามารถพัฒนาสู่ความเป็นจริง และผู้คนหันมาสนใจถึงวันข้างหน้ามากขึ้น NIA จึงได้จัดกิจกรรมประกวดวีดีทัศน์ด้านมุมมองอนาคต หรือ NIA Creative Contest ขึ้น เป็นปีที่ 2 โดยปีแรกใช้แนวคิด “How Do We Work in the Future” ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักเรียน นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป เข้าร่วมส่งผลงานกว่า 45 ผลงาน สำหรับการประกวดในปีนี้ใช้แนวคิด “Future Land” เมืองแห่งอนาคต ซึ่งได้มีการขยายพื้นที่การประกวดไปในออกเป็น 4 ภาค ทั่วประเทศ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง เพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้สนใจทั่วประเทศได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการและส่งผลงานเข้าประกวดผ่านหน่วยงานเครือข่ายใน 4 พื้นที่ โดยผลงานที่ผ่านการคัดเลือกระดับภูมิภาคจะนำมาประกวดร่วมกันอีกครั้ง เพื่อคัดเลือกผู้ชนะที่จะเข้าไปรับรางวัลระดับประเทศในวันนวัตกรรมแห่งชาติ 5 ตุลาคม 2563 ซึ่งตรงกับ “วันนวัตกรรมแห่งชาติ” ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศจะได้รับโล่และเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท ซึ่ง NIA หวังว่ากิจกรรมครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ให้มีโอกาสได้นำเสนอผลงานผ่านมุมมองที่หลากหลาย พร้อมเปิดโอกาสให้สังคมไทยและคนไทย ฉุกคิดต่อความเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่จะส่งผลกระทบต่อผู้คน ชุมชน วิถีชีวิตและการพัฒนาของพื้นที่ รวมทั้งตระหนักถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตว่าจะมีลักษณะอย่างไรได้บ้าง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือความเปลี่ยนแปลง
“การจัดกิจกรรมดังกล่าวจะทำให้เห็นประโยชน์เด่นชัด 3 ด้าน คือ 1. ได้นักมองอนาคตรุ่นใหม่ที่เป็นกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ รวมถึงนักสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อายุยังน้อย ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าแนวคิดจากคนที่อายุยังน้อยไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงาน หรือมากด้วยประสบการณ์ และหลายแนวคิดก็เป็นสิ่งที่ควรได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน 2. ได้สื่อใหม่ ที่จะช่วยสื่อว่าเยาวชนรุ่นใหม่มองภาพนาคตอย่างไร เพราะภาพอนาคตไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถร่วมกันกำหนด หรือวางแนวทางให้เกิดขึ้นจริงได้ 3. เป็นโจทย์ให้ผู้สนใจสามารถนำแนวคิดไปสร้างโอกาสพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ที่คนรุ่นใหม่อยากให้เป็น”
ด้าน ดร.ชัยธร ลิมาภรณ์วณิชย์ ผู้อำนวยการสถาบันการมองอนาคตนวัตกรรม กล่าวว่า ในปีนี้กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้แนวคิด Future Land เนื่องจาก NIA เห็นว่าแต่ละภูมิภาคมีบริบทที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งบริบทและปัญหาเหล่านี้อาจจะมีส่วนในการมองภาพอนาคต และถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ พร้อมนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง โดยเบื้องต้นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้และเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจออกแบบนวัตกรรมในแต่ละพื้นที่คือ
ภาคกลาง จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้พื้นที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบอย่างหนัก ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศจึงจำเป็นต้องกำหนดรูปแบบความเสี่ยง และนวัตกรรมที่สามารถลดความเสี่ยงเหล่านั้น รวมถึงสิ่งที่คนในภูมิภาคนี้ต้องเผชิญ ตลอดจนเครื่องมือที่จะช่วยให้กลุ่มคนในภูมิภาคนี้อยู่รอดได้ในอนาคต
ภาคเหนือ เป็นอีกหนึ่งภาคที่มีสิ่งแปลกใหม่ หรือวิกฤติเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น pm 2.5 ไฟป่า ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลด้านพฤติกรรมอย่างมาก ประชาชนมีความตื่นตัวมากยิ่งขึ้น หลายคนสนใจประเด็นการเปลี่ยนแปลงของโลก สุขภาพ การเมือง และที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นคือ สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการป้องกันและระมัดระวังการใช้ชีวิตมากขึ้น
ภาคอีสาน โครงการดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะสามารถสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า “New normal” ของภาคอีสานจะเป็นอย่างไร ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาก็ทำให้เห็นสิ่งใหม่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะด้านอาชีพที่เกิดอาชีพใหม่ รวมถึงทักษะที่จำเป็นต้องมี เช่น การสตรีมมิ่ง การถ่ายทอดสด ทักษะด้านดิจิทัล รวมถึงความสนใจในด้านเอนเตอร์เทนเมนท์ที่ประชาชนในภาคอีสานสนใจเรื่องเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
ภาคใต้ เป็นภาคที่มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นด้านภูมิประเทศ ศาสนา ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม และจากช่วง 10 ปีที่ผ่านมายังพบว่าคนรุ่นใหม่เริ่มคืนถิ่นเยอะขึ้น โดยสังเกตได้จากการเกิดโฮลเทล ร้านอาหารสไตล์ใหม่ รวมถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้คน ซึ่งในอนาคตคาดการณ์ว่าความทันสมัยต่างๆ ก็จะเทียบเท่ากับภาคอื่นแน่นอน
ด้านนายนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวว่า การสร้างภาพยนตร์ให้มีความน่าสนใจ ควรจะสร้างจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรา เพราะเรื่องใกล้ตัวจะช่วยให้คนดูเข้าถึงสิ่งที่เราต้องการสื่อสาร รวมไปถึงการใช้ความเป็นตัวตนตามบริบทพื้นที่ เช่น การใช้ภาษาถิ่น เพราะทำให้เห็นว่าเรามาจากไหน หรือแม้แต่การเล่นกับสัตว์เลี้ยงก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ภาพยนตร์มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น อีกสิ่งที่สำคัญคือการเขียนบท ต้องมีการตีความให้ชัดเจน โดยเฉพาะการสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของอนาคต ต้องเข้าใจคำว่าอนาคตอย่างถ่องแท้ และนึกถึงเรื่องพื้นฐานให้มากที่สุด
นอกจากนี้ การสร้างภาพยนต์ในอนาคตนั้นจะพูดถึงอะไรก็ได้ แต่ควรเป็นเรื่องใกล้ตัวที่มีผลกระทบถึงการใช้ชีวิตผู้คน ยิ่งมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับนวัตกรรมยิ่งจำเป็นต้องทำ เพราะนอกจากจะช่วยให้ภาพยนตร์มีสีสันน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว ยังช่วยให้คนฉุกคิดถึงการเตรียมตัวถึงวันข้างหน้า พร้อมหยิบนำไปใช้ได้หากมีสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) โทรศัพท์ 02-017-5555 เว็บไซต์ www.nia.or.th และ facebook.com/NIAThailand

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad