สภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทั่วโลกบวกกับปัญหาการเมืองทั้งในและนอกประเทศที่เกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมาส่งผลให้หลายธุรกิจมีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ธุรกิจที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลและการดูแลสุขภาพกลับมีอัตราการเจริญเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้น มีศักยภาพในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต มีการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติในเรื่องของการสาธารณสุข เพราะมีบุคลากรทางการแพทย์และโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานระดับโลก มีบริการที่ดีและทันสมัย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาล และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการด้านสุขภาพอื่นๆ อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐตามแผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับปัจจุบันที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ถึง พ.ศ. 2568 มีการประชาสัมพันธ์กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เข้ามารับบริการเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งมีโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์สมัยใหม่และการแพทย์ครบวงจรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor, EEC) ภายใต้เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ในอาเซียนที่ภาครัฐให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาสักระยะหนึ่งแล้ว ดังจะเห็นได้จาก ในปี พ.ศ. 2562 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investments, BOI) ได้รับคำยื่นขอการส่งเสริมการลงทุนในด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ กว่า 26 โครงการ คิดเป็นเม็ดเงินราว 8,147 ล้านบาท (ที่มา: BOI)
ในส่วนของตลาดทุนพบว่า ปัจจุบันมีบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในกลุ่มธุรกิจการแพทย์รวม 23 บริษัท คิดเป็นมูลค่าทางตลาด 640,000 ล้านบาท หรือ 4.66% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ ธุรกิจหลักในกลุ่มนี้คือกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล โดยบริษัทที่มีมูลค่าจดทะเบียนสูงสุดคือบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการจำกัด มหาชน หรือ BDMS ที่มีมูลค่าสูงถึง 313,000ล้านบาท (ที่มา:ตลาดหลักทรัพย์ ข้อมูล ณ วันที่ 18 พ.ค. พ.ศ. 2563) กลุ่มธุรกิจนี้มีการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากรูปที่ 1 ที่แสดงจำนวนโรงพยาบาลและเตียงผู้ป่วยมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประเทศไทยมีความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์เนื่องจากเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ประชากรในประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ สามารถเดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยได้อย่างสะดวก ในด้านของค่ารักษาพยาบาล จากรูปที่ 2 แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระดับที่ต่ำถึงปานกลาง เมื่อเทียบกับประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพของระบบสาธารณสุขในระดับสูง จึงเป็นสิ่งจูงใจให้ชาวต่างชาติจำนวนมากเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเนื่องด้วยเหตุผลทางการแพทย์และสุขภาพ
สถานการณ์โควิด-19ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจการแพทย์ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากจำนวนคนไข้ที่ลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา คนไทยส่วนมากหลีกเลี่ยงการเดินทางไปโรงพยาบาลถ้าไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรงมากนัก ในขณะที่ผู้ป่วยต่างขาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้ ทำให้รายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลที่มีขนาดใหญ่มีอัตราลดลงอย่างมาก ในทางตรงกันข้าม กลุ่มโรงพยาบาลที่มีขนาดเล็กกลับมีรายได้เพิ่มขึ้นจากระบบประกันสังคมอันเนื่องมาจากฐานสมาชิกประกันสังคมที่ใหญ่ขึ้นและมีการปรับเพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ใน ปี พ.ศ. 2563 ให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญาในระบบประกันสังคม เป็น 3,959 บาท/คน/ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 และยังได้รับอานิสงค์จาก'ประกันสังคม' เพิ่มสิทธิรักษา 'ผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง-ป่วยโควิด-19’ โดยคณะกรรมการประกันสังคมมีมติเห็นชอบ เรื่องหลักเกณฑ์และอัตราค่าบริการทางการแพทย์กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2563 ที่จะจ่ายค่าบริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตนหรือสถานพยาบาลในกลุ่มประกันสังคม เช่น ค่าตรวจห้องปฏิบัติการ ครั้งละ 3,000 บาท, ค่าห้องพักวันละ 2,500บาท และค่ายาต้านไวรัส 7,200 บาท ด้วยเหตุนี้ รายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลที่มีขนาดเล็กในตลาดจดทะเบียนมีอัตราเติบโตสูงขึ้นในไตรมาสที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. 2562 โดยรวมกลุ่มธุรกิจการแพทย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จึงมีรายได้ที่คงที่ ปัจจุบันสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นมาก มีการคลายล็อคดาวน์ ผู้ป่วยในประเทศได้มีการกลับมารักษาตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 60-70% และมีความเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยจากต่างประเทศจะกลับเข้ามาทันทีหลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาได้ เนื่องจากประเทศไทยมีความสามารถในการจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีเยี่ยม เป็นอันดับต้นๆ ของโลก สาธารณสุขไทย เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในสายตาของชาวโลก
ท้ายที่สุดนี้ อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามองที่สามารถส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มการแพทย์สามารถเพิ่มศักยภาพในการยกระดับทางด้านการปฎิบัติงาน คือ การปรับตัวในยุค Technology Disruption เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ แก้ปัญหาข้อจำกัดด้านความเพียงพอและการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยอานิสงค์ของวิกฤตโควิด-19 (COVID-19) ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ จำต้องเปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆเร็วขึ้น ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้คนเริ่มคุ้นชินกับการปฏิบัติงานทางไกล การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ(Robotics & Automation) ดังนั้น การตรวจรักษา หรือการรับยาจากร้านยาใกล้บ้าน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของสังคมอีกต่อไป ดังนั้นธุรกิจในกลุ่มการแพทย์จำเป็นต้องศึกษาและพัฒนา ระบบบริการสุขภาพทางไกล (อาทิเช่น Telemedicine หรือ Teleconsultant เป็นต้น) เพื่อเพิ่มการได้เปรียบในการเป็นผู้นำทางการตลาด MediTech ต่อไป การขยายตัวของกลุ่มธุรกิจการแพทย์ส่งผลในเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิเช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติที่เดินทางมารับการรักษา และผู้ติดตามเช่นคนในครอบครัว เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศไทยมากขึ้น อุตสาหกรรมยาง อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมพลาสติก
อุตสาหกรรมเหล็ก เนื่องจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ จำเป็นต้องใช้ส่วนประกอบจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ ดังนั้นการที่รัฐบาลไทยกำหนดให้อุตสาหกรรมการแพทย์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ของประเทศ จึงส่งผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย และอาจจะช่วยต่อลมหายใจให้กับประเทศไทยในยุคโควิด-19 นี้ ดั่งแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ไปต่อได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
บทความนี้เขียนโดย
- ศาสตราจารย์ ดร.ศิริมล ตรีพงษ์กรุณา University of Western Australia
- รองศาสตราจารย์ ดร.พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส Sasin School of Management
- ศาสตราจารย์ ดร. ภรศิษฐ์ จิราภรณ์ Pennsylvania State University
- นางสาว นพรัตน์ วงศ์สินหิรัญ Sasin PhD. candidate
- นางสาว ณลินี เด่นเลิศชัยกุล Sasin Ph.D. candidate
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น