เอปสันเผยแผนธุรกิจกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ตั้งเป้ารักษาอัตราการเติบโต หลังตลาดไอทีฟื้นตัวเร็วจากโควิด-19 - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2563

เอปสันเผยแผนธุรกิจกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ ตั้งเป้ารักษาอัตราการเติบโต หลังตลาดไอทีฟื้นตัวเร็วจากโควิด-19


เอปสัน เร่งเครื่องปั้นยอดขายทันที ตั้งเป้ารักษาอัตราการเติบโตระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา หลังตลาดไอทีฟื้นตัวจากโควิด-19 อย่างรวดเร็ว พร้อมเดินหน้ารุกสร้างธุรกิจเชิง B2B เพื่อเพิ่มสมดุลการขยายตัวทางธุรกิจระยะยาว

ภายหลังเอปสัน สิงคโปร์ สำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ผู้นำตลาดด้านเทคโนโลยีการพิมพ์และโปรเจคเตอร์ ประกาศแต่งตั้งนายยรรยง มุนีมงคลทร ขึ้นเป็นผู้อำนวยการบริหารชาวไทยคนแรกของสำนักงานสาขาในภูมิภาคนี้ และคนแรกในรอบ 30 ปี ของบริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้เร่งเสริมความแกร่งในการทำธุรกิจเชิง B2B อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความสมดุลทางธุรกิจ และความพร้อมในการรับมือกับตลาดที่ผันผวนเมื่อได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่ไม่คาดคิด เช่น การแพร่ระบาดของโรคระบาดโควิด-19
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2563 นี้ว่า “การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อวงจรธุรกิจและการลงทุนเกือบทั้งหมดของประเทศ ทั้งยังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายและการใช้ชีวิตของผู้คน ตลาดไอทีในช่วงสี่เดือนแรกก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่เดือนพฤษภาคมและมิถุนายนที่ผ่านมากลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากรัฐบาลประกาศคลายล็อคและผู้คนหันมาซื้อสินค้าไอทีเพื่อรองรับการทำงานและการเรียนผ่านระบบออนไลน์จากที่บ้าน อีกทั้งหน่วยงานราชการก็เริ่มกลับมาจัดซื้ออุปกรณ์สำนักงานมากขึ้น ในส่วนของเอปสันยังคงตั้งเป้ารักษาระดับการเติบโตเท่ากับปีที่แล้ว โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์เพื่อธุรกิจองค์กรและธุรกิจถ่ายเอกสาร และสินค้าอิงค์เจ็ทพรินเตอร์เพื่องานพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมสิ่งทอ ธุรกิจป้ายโฆษณา โฟโต้แล็บ และธุรกิจสินค้าแฟชั่นและเฟอร์นิเจอร์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมทางธุรกิจรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต”
“ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เอปสันเร่งเพิ่มความพร้อมในการทำธุรกิจเชิง B2B มากขึ้น ด้วยการเพิ่มสัดส่วนในด้านการขายและการตลาดไปที่กลุ่มธุรกิจ B2B เมื่อเทียบกับ B2C เป็น 30:70 จากเดิมที่เป็น 25:75 โดยบริษัทฯ จะเน้นการขายในรูปแบบที่เป็นโซลูชั่นที่สามารถแก้ปัญหาของลูกค้าได้ตรงจุด มากกว่าที่จะแยกขายสินค้าเป็นเครื่องๆ รวมถึงสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ในรูปแบบ Printer as a Service ออกมานำเสนอเพิ่มมากขึ้น เช่น โปรเจคนำร่องที่เปิดตัวไปแล้ว อย่างบริการผู้ช่วย Epson EasyCare 360 สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ใช้ Epson WorkForce ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานองค์กรสามารถบริหารค่าใช้จ่ายโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยปราศจากความกังวลเรื่องการดูแลบำรุงรักษา ทั้งด้านความพร้อมของอุปกรณ์ รวมถึงวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ อาทิ หมึกพิมพ์ หรือบริการ Epson EasyCare Mono สำหรับกลุ่มลูกค้า Epson EcoTank M-series ที่สามารถเช่าเครื่องพร้อมหมึกแบบเหมาจ่ายรายเดือน”
นายยรรยง กล่าวต่อว่า “บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมใน 3 มิติมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แนวทางการทำธุรกิจในเชิง B2B ประสบความสำเร็จในระยะยาว โดยมิติแรกคือการปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานภายในองค์กร ตั้งแต่ด้านระบบการเงินการบัญชี ระบบแบ็คออฟฟิศเพื่อสนับสนุนการขาย การจัดจ้างบุคลากรใหม่ การเทรนนิ่งพนักงาน เพื่อรองรับการทำธุรกิจกับลูกค้า B2B ประการต่อมาคือการพัฒนาและสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้สามารถเจาะตลาด B2B ได้กว้างและลึกยิ่งขึ้น ทั้งในภาคราชการและเอกชนผ่านการฝึกอบรมรวมถึงรับตัวแทนจำหน่ายสมัครรายใหม่ และมิติความพร้อมสุดท้ายคือการนำเสนอคุณค่า (Value Proposition) 4 ประการ ให้แก่ลูกค้าองค์กร หรือ LEAD ซึ่งเน้นการแก้ไขเพนพอยต์และตอบโจทย์ความต้องการด้านการพิมพ์งานภายในองค์กร ได้แก่ Low total cost of ownership หรือต้นทุนการเป็นเจ้าของที่ถูกลง, Eco-friendly environment หรือความเป็นมิตรต่อสุขภาพของผู้ใช้และสิ่งแวดล้อมในองค์กร, Advanced performance หรือประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กรที่ดีขึ้น และ Digital transformation หรือศักยภาพขององค์กรในการเปลี่ยนถ่ายสู่เทคโนโลยีดิจิทัล”
“ในการทำตลาด B2B สำหรับสินค้ากลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ เอปสันถือว่าได้เปรียบคู่แข่งค่อนข้างมาก เพราะบริษัทฯ ได้ศึกษาแนวโน้มตลาดและพฤติกรรมการใช้งานพรินเตอร์ของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด จึงได้เพิ่มน้ำหนักการทำธุรกิจในเชิง B2B มากขึ้นมาตั้งแต่ปี 2560 และได้เปลี่ยนแนวทางในการขายและการทำตลาด จนสินค้าอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของเอปสันสามารถเจาะเข้าไปยังองค์กรธุรกิจและหน่วยงานราชการ รวมถึงสถาบันการศึกษาได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่เป็นการเข้าไปแทนที่เลเซอร์พรินเตอร์ในสำนักงาน อีกทั้งยังสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากเครื่องถ่ายเอกสารได้มากขึ้น นอกจากนี้ ในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสิ่งทอ แฟชั่น และเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงโรงพิมพ์ ก็หันมาลงทุนกับอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ระดับมืออาชีพของเอปสันเพิ่มขึ้น ตามกระแส Digital transformation และความจำเป็นที่ต้องปรับตัวเพื่อรองรับงานประเภทออนดีมานด์”
“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะมีแคมเปญ Heat-Free Technology ออกมาในช่วงกลางไตรมาส 3 นี้ ซึ่งจะช่วยตอกย้ำถึงจุดเด่นของอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของเอปสันที่โดดเด่นและได้เปรียบเลเซอร์พรินเตอร์และเครื่องถ่ายเอกสาร ถึง 4 ด้าน ได้แก่ การประหยัดค่าไฟที่เหนือกว่า ความเร็วในการทำงานที่ทันใจกว่า ความต่อเนื่องในการทำงาน และการปล่อยความร้อนจากเครื่องที่น้อยกว่า ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการทำงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดคือปัจจัยที่องค์กรธุรกิจส่วนใหญ่กำลังเผชิญและต้องการโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าองค์กรธุรกิจ โดยเอปสันมั่นใจว่าการที่บริษัทฯ โฟกัสที่การทำธุรกิจ B2B จะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้นในทุกปี ซึ่งส่งผลถึงการเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน” นายยรรยง ทิ้งท้าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad