“จุรินทร์”ลงนาม MoU ตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจการค้ากับยูเค ชาติแรกในเอเชียแปซิฟิก - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2564

“จุรินทร์”ลงนาม MoU ตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจการค้ากับยูเค ชาติแรกในเอเชียแปซิฟิก

img

“จุรินทร์”ลงนาม MoU ตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจการค้ากับยูเค ชาติแรกในเอเชียแปซิฟิก

“จุรินทร์”ลงนาม MoU กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักรในรูปแบบสามมิติ ตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า เป็นชาติแรกในเอเชียแปซิฟิก หลังเบร็กซิต มั่นใจช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายการค้า การลงทุน การทำธุรกิจ และดันมูลค่าการค้าเพิ่มเป็น 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 67
         
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า (Joint Economic and Trade Committee: JETCO) ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทย กับกระทรวงการค้าระหว่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักร ในรูปแบบสามมิติ (Hologram) ร่วมกับนางเอลิซาเบธ ทรัส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักร ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ว่า ความร่วมมือดังกล่าว จะช่วยในการขยายการค้า การลงทุน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับภาคเอกชนของทั้ง 2 ประเทศ และจะมีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ การค้าที่สำคัญให้มีความใกล้ชิดยิ่งขึ้น และปูทางไปสู่การทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกันในอนาคตด้วย
         
“ตลอดปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ไทย และกระทรวงการค้าระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักร ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อทบทวนนโยบายการค้าระหว่างกัน จนในที่สุดได้เกิดผลลัพธ์ที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งในวันนี้ คือ การลงนามใน MoU ที่จะนำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า หรือ JETCO ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเวทีหารือเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่สหราชอาณาจักรได้ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และยังเป็นที่น่ายินดีที่ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียแปซิฟิกที่ได้ลงนามกับสหราชอาณาจักร”
        
ทั้งนี้ ปัจจุบันการค้าระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร ในปี 2563 ที่ผ่านมา มีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากในอดีต เพราะสถานการณ์ของโควิด-19 แต่ความร่วมมือที่เกิดขึ้น จะช่วยในการขยายความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน โอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะในสาขาสำคัญ ได้แก่ เกษตรและอาหาร การเงิน สุขภาพ และเทคโนโลยี ซึ่งทั้ง 2 ประเทศมีศักยภาพและมีทรัพยากรที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน และล้วนเป็นสาขาธุรกิจแห่งอนาคต ในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
         
ขณะเดียวกัน ผลจากความร่วมมือ จะช่วยในการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันได้อีก 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ในปี 2567
         
ในปี 2563 การค้าระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร มีมูลค่าการค้ารวม 4,875.69 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.51 แสนล้านบาท โดยไทยส่งออก 3,087.20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9.56 หมื่นล้านบาท และนำเข้า 1,788.49 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 5.55 หมื่นล้านบาท สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยไปสหราชอาณาจักร เช่น ไก่แปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ รถยนต์และอุปกรณ์ แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากสหราชอาณาจักร เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องดื่ม เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad