ราคาที่พักอาศัยย่านไพรม์ในเอเชียแปซิฟิกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด - 19
จากรายงานความมั่งคั่ง ( Wealth Report) ที่จัดทำโดยไนท์แฟรงค์ เผยผลดัชนีที่พักอาศัยย่านไพรม์ทั่วโลก (Prime International Residential Index หรือ PIRI 100) โดยดัชนีดังกล่าวแสดงการเคลื่อนไหวของราคาที่พักอาศัยหรูใน 100 เมืองและตลาดบ้านหลังที่สองทั่วโลกในช่วง 12 เดือน สิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยพบว่ามี 4 เมืองในเอเชียแปซิฟิกที่ติดใน 5 อันดับสูงสุด
ราคาที่พักอาศัยย่านไพรม์ทั่วโลกปรับตัวดีกว่าที่คาดไว้ในปี 2563 โดยพื้นที่กว่า 100 แห่งที่อยู่ใน PIRI 100 มีราคาฉลี่ยสูงขึ้น 1.9% โดยเพิ่มขึ้นจาก 1.8% ในปี 2562 ส่วนตลาดย่านไพรม์ในเอเชียแปซิฟิก มี 14 จาก 23 แห่งที่มีราคาเติบโต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของราคาอสังหาฯ ในภูมิภาค
เมืองโอ๊คแลนด์เป็นผู้นำในด้านราคาเฉลี่ยเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ด้วยการปรับตัวสูงขึ้นถึง 18% มาตรการการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 ของนิวซีแลนด์ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว อัตราสินเชื่อที่พักอาศัยที่ต่ำเป็นพิเศษ และอุปทานอสังหาฯที่มีจำกัดนั้นเป็นปัจจัยหนุนให้เกิดการเติบโตนี้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาจะเริ่มปรับเข้าสู่ภาวะปกติเนื่องจากนโยบายต่างๆที่รัฐบาลสนับสนุนมีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อทำให้ตลาดยังคงแข็งแกร่ง
วิคทอเรีย การ์เร็ต หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาโครงการที่พักอาศัย ไนท์แฟรงค์เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “การกู้ดอกเบี้ยต่ำและความก้าวหน้าของวัคซีนที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปลายปี 2563 ถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ตลาดที่พักอาศัยย่านไพรม์ในเอเชียแปซิฟิกเติบโตในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19"
ตารางที่ 1 : การเปลี่ยนแปลงรายปีของราคาที่พักอาศัยย่านไพรม์
เมืองต่างๆในเอเชียแปซิฟิกครองอยู่ 5 ใน 10 อันดับสูงสุดของการจัดอันดับใน PIRI 100 ตอกย้ำปัจจัยพื้นฐานทางการตลาดที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้เมืองเหล่านี้สามารถฟื้นตัวได้ในอัตราที่สูงอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน ปริมาณยอดขายอสังหาฯ ใน 30 เมืองใหญ่ในประเทศจีนกลับมาฟื้นสู่ระดับค่าเฉลี่ยรายวันที่เคยทำไว้ในปี 2562
ในขณะที่ออสตราเลเซียเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ โดยมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 4.9% เนื่องจากกระแสความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่เมืองเพิร์ธ (+ 4%) และซิดนีย์ (+ 1%) รายงานว่ายอดขายอสังหาฯย่านไพรม์สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2563
“เนื่องจากมาตรการข้อจำกัดด้านการเดินทาง ความต้องการพื้นที่สีเขียวเปิดโล่งจะช่วยเสริมสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงานจึงเพิ่มมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปัจจัยด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี และครอบครัวถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้ซื้อบ้านในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่กำลังมองหาบ้านภายในประเทศ เพื่ออัพเกรดที่พักอาศัยหลักหรือซื้อไว้เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศที่ใกล้บ้านมากขึ้น ชาวต่างชาติที่ได้เดินทางกลับบ้านและผู้ซื้อบ้านต่างก็กำลังมองหาบ้าน เพื่ออัพเกรดที่พักอาศัยหลักของตนหรือลงทุนในตลาดอสังหาฯ เนื่องมาจากตลาดหุ้นที่เติบโตขึ้น” การ์เร็ตต์ กล่าว
ทัศนคติในการซื้อบ้าน
จากผลการสำรวจที่จัดทำขึ้นโดยไนท์แฟรงค์กับธนาคารเอกชน ที่ปรึกษาด้านความมั่งคั่ง สำนักงานคนกลาง และสำนักงานธุรกิจครอบครัว รวมจำนวนกว่า 600 ท่าน โดยแบบสำรวจทัศนคติ เผยว่า 1 ใน 5 ของเหล่าอภิมหาเศรษฐี ในเอเชียแปซิฟิกกำลังวางแผนจะซื้อบ้านใหม่ในปี 2564 ด้วยเหตุผลคือการขยายที่พักอาศัยหลักในประเทศของตน ตามมาด้วยซื้อเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศทั้งอยู่ภายในประเทศหรืออยู่ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย
ตารางที่ 2 : ลูกค้ากลุ่มอภิมหาเศรษฐีของไนท์แฟรงค์วางแผนจะซื้อบ้านในปี 2564 ในประเทศไหนบ้าง ?
“สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่ามีการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มอภิมหาเศรษฐี อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทั่วโลก พวกเขาจึงหันมาสนใจลงทุนในตลาดที่พักอาศัยภายในประเทศของตน ตามมาด้วยซื้อบ้านหลังที่สองในเมืองและประเทศที่ตรงกับความต้องการของพวกเขามากที่สุด ภายหลังจากการก้าวเข้าสู่การใช้ชีวิตแบบใหม่ (New Normal)” การ์เร็ตต์ กล่าวเสริม
ในส่วนของลักษณะของบ้าน ผู้ตอบแบบสอบถามชอบบ้านที่มีออฟฟิตอยู่ภายในบ้านหรือในบริเวณใกล้เคียง ตามมาด้วยบ้านที่มีการเข้าถึงของระบบคมนาคม (โดยเฉพาะผู้ซื้อชาวเอเชียที่ซื้อบ้านในเมือง) และบ้านที่มีพื้นที่กลางแจ้งภายในบ้านหรือในบริเวณใกล้เคียง (โดยเฉพาะผู้ซื้อชาวออสตราเลเซียที่ชอบซื้อบ้านในพื้นที่ชนบทหรือแถบชายฝั่งทะเล)
ตารางที่ 3 : เมื่อเลือกบ้านใหม่ ลักษณะบ้านแบบไหนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด? (1 = เป็นที่นิยมมากที่สุด)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น