กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศถกหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เตรียมความพร้อมรับมือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของอียู ป้องกันผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เผยเบื้องต้นนำร่องสินค้า 5 ประเภท ส่วนสินค้าไทยที่มีความเสี่ยง เหล็ก เหล็กกล้า และอะลูมิเนียม คาดมีผลบังคับใช้ปี 66 แนะผู้ผลิต ผู้ส่งออกไทยเร่งปรับตัว
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้หารือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กรมยุโรป สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผ่านการประชุมระบบทางไกล กรณีสหภาพยุโรป (อียู) ได้เผยแพร่ร่างกฎหมายมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) เมื่อเดือน ก.ค.2564 ที่ผ่านมา โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าของอียูจะต้องซื้อ “ใบรับรอง CBAM” ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านั้น ซึ่งผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าของไทยไปอียูจะต้องเตรียมปรับตัว และปรับกระบวนการผลิตสินค้าเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือมีค่าใช้จ่ายสำหรับขอใบรับรองการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยหากอียูเห็นชอบร่างกฎหมายมาตรการดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับในต้นปี 2566
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่า มาตรการ CBAM ของอียู จะกระทบกับการส่งออกสินค้าของไทยไปอียูได้ โดยเฉพาะสินค้าเหล็ก เหล็กกล้า และอะลูมิเนียม ซึ่งในปี 2563 ไทยส่งออกไปอียูมูลค่าประมาณ 145 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไทยจะต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อศึกษารายละเอียดของมาตรการและกฎหมายต่าง ๆ ตลอดจนหารือกับอียูเพื่อลดผลกระทบทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น
นางอรมนกล่าวว่า เบื้องต้นอียูจะเริ่มบังคับใช้มาตรการ CBAM กับสินค้า 5 ประเภทก่อน ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และอาจขยายมาตรการให้ครอบคลุมสินค้าประเภทอื่นด้วยในอนาคต โดยในช่วง 3 ปีแรก (2566–2568) จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ผู้นำเข้าเพียงแค่รายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป จะเริ่มบังคับใช้มาตรการ CBAM อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องซื้อและส่งมอบใบรับรอง CBAM
สำหรับรายละเอียดมาตรการ CBAM เช่น ให้ผู้นำเข้าจัดทำ “คำสำแดง CBAM” ยื่นให้แก่หน่วยงานในประเทศสมาชิกอียู ภายในวันที่ 31 พ.ค. ของทุกปี โดยระบุปริมาณสินค้าที่นำเข้าในรอบหนึ่งปีก่อนหน้า และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้านำเข้านั้น และต้องส่งมอบใบรับรอง CBAM ซึ่งราคาใบรับรองจะอ้างอิงตามราคาซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกในตลาดคาร์บอนของอียู (EU Emission Trading Scheme : EU-ETS) และหากแสดงได้ว่าสินค้าถูกปรับคาร์บอนในประเทศต้นทางแล้ว ผู้นำเข้าก็จะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายภายใต้มาตรการ CBAM ได้ ส่วนผู้ประกอบการต่างชาติ สามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อรับรองปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ระดับโรงงาน) ของสินค้าที่ตนผลิต โดยข้อมูลการปล่อยก๊าซฯ จะต้องได้รับการรับรองโดยผู้รับรอง (accredited verifier) ที่แต่งตั้งโดยประเทศสมาชิกอียู เป็นต้น
มาตรการ CBAM ของอียู สืบเนื่องจากการดำเนินนโยบายโลกสีเขียวไร้มลพิษของอียู (European Green Deal) ที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้อย่างน้อย 55% ภายใน 10 ปี (ปี 2573) และทำให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมเป็น 0 ภายใน 30 ปี (ปี 2593) จึงส่งผลให้อียูจำเป็นต้องออกมาตรการดังกล่าว เพื่อช่วยผู้ประกอบการอียูไม่ให้มีค่าใช้จ่ายในการปรับระบบการผลิตสินค้าเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกเพียงฝ่ายเดียว แต่ผู้ส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในอียูต้องมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564
Home
เศรษฐกิจมหภาค
ส่งออก
“พาณิชย์”ผนึกรัฐ-เอกชน เตรียมรับมือมาตรการปรับคาร์บอนอียู ป้องกันกระทบส่งออก
“พาณิชย์”ผนึกรัฐ-เอกชน เตรียมรับมือมาตรการปรับคาร์บอนอียู ป้องกันกระทบส่งออก
Tags
# เศรษฐกิจมหภาค
# ส่งออก
Share This
About preecha binmanoch
ส่งออก
ป้ายกำกับ:
เศรษฐกิจมหภาค,
ส่งออก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Author Details
Templatesyard is a blogger resources site is a provider of high quality blogger template with premium looking layout and robust design. The main mission of templatesyard is to provide the best quality blogger templates which are professionally designed and perfectlly seo optimized to deliver best result for your blog.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น