สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผย “ชาไทย” สินค้าดาวรุ่งส่งออก ยอด 7 เดือนโตกระฉูด มูลค่า 508.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.36% แนะเร่งผลักดันมาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และแปรรูปไปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสส่งออก ชี้ควรใช้ FTA เป็นใบเบิกทางเจาะจีนและอาเซียน
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์สินค้า “ชาไทย” เพื่อประเมินโอกาสในการขยายตลาด ตามนโยบายที่ได้รับจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยพบว่า ชาไทยเป็นสินค้าดาวรุ่งที่มีโอกาสในการขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งเห็นได้จากยอดการส่งออกสินค้าประเภทชาเขียวและชาดำบรรจุหีบห่อในช่วง 7 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ก.ค.) มีปริมาณสูงถึง 2,192.44 ตัน เพิ่มขึ้น 99.88% และมีมูลค่า 508.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.36%
“จากแนวโน้มการส่งออกดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ชาไทยยังมีโอกาสในการส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จะต้องเข้ามาช่วยเหลือในการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยผลักดันให้มีมาตรฐานรับรอง ทั้งมาตรฐานในประเทศและมาตรฐานต่างประเทศ เช่น การผลิตทางการเกษตรอย่างถูกต้องและเหมาะสม (GAP) มาตรฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ (GMP) สิ่งบ่งชี้ภูมิศาสตร์ (GI) รวมถึงการรับรองสินค้าอินทรีย์ เป็นต้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ และช่วยเพิ่มโอกาสในการขายให้กับชาไทย”นายรณรงค์กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องเร่งให้ความรู้แก่เกษตรกรทั้งในด้านการเพาะปลูกชาที่ตลาดต้องการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การแปรรูปไปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ช่วยผลักดันให้มีการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนหรือเกษตรแปลงใหญ่ และต้องช่วยขยายช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกร ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะช่องทางตลาดออนไลน์ที่มีความสำคัญและได้รับความนิยมในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ควรจะช่วยประชาสัมพันธ์ชาไทย เพื่อกระตุ้นการบริโภค เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคได้ปรับเปลี่ยนจากการบริโภคเครื่องดื่มตามกระแส มาเป็นเลือกบริโภคเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากขึ้น ซึ่งชาไทย เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ส่วนการส่งออก ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสในการส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชาไทย เพราะชาไทยเป็นที่นิยมและยอมรับในหมู่ผู้บริโภค โดยมีตลาดสำคัญ เช่น ไต้หวัน จีน และอาเซียน ซึ่งในส่วนของจีนและอาเซียน สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ปัจจุบันมีการลดภาษีนำเข้าให้กับชาไทยแล้ว ทำให้สินค้าไทยมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
ปัจจุบัน แหล่งปลูกชาที่สำคัญของไทยอยู่ในพื้นที่ภูเขาสูงในภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และน่าน ชาสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงต้นฤดูฝน และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทั้งปี โดยในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. เป็นช่วงที่ผลผลิตออกมากที่สุด ไทยมีพื้นที่ปลูกชาในปี 2563 จำนวน 149,656.95 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.90 โดยพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุด ได้แก่ พันธุ์ชาอัสสัม และพันธุ์ชาจีน คิดเป็นร้อยละ 87 และ 13 ตามลำดับ
วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2564
Home
เศรษฐกิจมหภาค
ส่งออก
“พาณิชย์”เผย“ชาไทย” สินค้าดาวรุ่ง แนะเข้มมาตรฐาน เพิ่มแปรรูป สร้างโอกาสส่งออก
“พาณิชย์”เผย“ชาไทย” สินค้าดาวรุ่ง แนะเข้มมาตรฐาน เพิ่มแปรรูป สร้างโอกาสส่งออก
Tags
# เศรษฐกิจมหภาค
# ส่งออก
Share This
About preecha binmanoch
ส่งออก
ป้ายกำกับ:
เศรษฐกิจมหภาค,
ส่งออก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
Author Details
Templatesyard is a blogger resources site is a provider of high quality blogger template with premium looking layout and robust design. The main mission of templatesyard is to provide the best quality blogger templates which are professionally designed and perfectlly seo optimized to deliver best result for your blog.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น