ใช้สิทธิ์ FTA-GSP ส่งออก 8 เดือนปี 64 พุ่ง 53,804.40 ล้านเหรียญ โต 36.46% - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ใช้สิทธิ์ FTA-GSP ส่งออก 8 เดือนปี 64 พุ่ง 53,804.40 ล้านเหรียญ โต 36.46%

img

กรมการค้าต่างประเทศเผยยอดใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA และ GSP ในช่วง 8 เดือนปี 64 มีมูลค่า 53,804.40 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 36.46% หลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การเร่งรัดการส่งออก ระบุจีนนำโด่งมูลค่าใช้สิทธิ์ FTA สูงสุด ตามด้วยอาเซียน ส่วนสหรัฐฯ นำใช้สิทธิ์ GSP ตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์
         
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) เดือนส.ค.2564 มีมูลค่า 7,341.37 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.29% แยกเป็นการใช้สิทธิ์ภายใต้ FTA มูลค่า 7,030.93 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.07% และการใช้สิทธิ์ภายใต้ GSP มูลค่า 310.44 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.97%
         
ส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ในช่วง 8 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่า 53,804.40 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 36.46% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 79.13% ของการได้สิทธิประโยชน์ทั้งหมด แบ่งเป็นการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA มูลค่า 51,277.57 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 36.50% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 80.89% และภายใต้ GSP มูลค่า 2,526.83 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 35.59% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 63.69%
         
ทั้งนี้ การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าเพื่อส่งออกภายใต้กรอบ FTA ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากความต้องการสินค้าที่มีมากขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวม และจากการคลายมาตรการล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย และยังเป็นผลมาจากการเร่งรัดผลักดันการส่งออก การกระตุ้นให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า ทำให้มีการขอใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้น
         
สำหรับรายละเอียดตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิ์ภายใต้ FTA สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.จีน มูลค่า 17,771.78 ล้านเหรียญสหรัฐ 2.อาเซียน มูลค่า 17,384.02 ล้านเหรียญสหรัฐ 3.ออสเตรเลีย มูลค่า 5,609.05 ล้านเหรียญสหรัฐ 4.ญี่ปุ่น มูลค่า 4,662.69 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 5.อินเดีย มูลค่า 3,029.17 ล้านเหรียญสหรัฐ และกรอบความตกลง FTA ที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1อาเซียน–จีน 97.33% 2.ไทย–เปรู 93.24% 3.ไทย–ชิลี 92.57% 4.ไทย–ญี่ปุ่น 79.75% และ 5.อาเซียน-เกาหลี 69.05%
         
โดยสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์ FTA สูง ประกอบไปด้วยสินค้าหลากหลาย ทั้งสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร เครื่องดื่ม และเกษตร เช่น รถยนต์เพื่อขนส่งของ รถยนต์เพื่อขนส่งบุคคล (อาเซียน , อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ , ไทย-ชิลี , อาเซียน-จีน) เครื่องปรับอากาศ (อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ , ไทย-อินเดีย) ตู้เย็น (ไทย-อินเดีย) เนื้อไก่และเครื่องในไก่ปรุงแต่ง (ไทย-ญี่ปุ่น) กุ้งปรุงแต่ง (อาเซียน-ญี่ปุ่น) ปลาซาร์ดีนปรุงแต่ง (อาเซียน-ญี่ปุ่น) ทุเรียนสด (อาเซียน-จีน) ผลไม้ เช่น ฝรั่ง มะม่วง มังคุด (อาเซียน-จีน) ยางธรรมชาติ (อาเซียน-เกาหลี) ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ็ก และปลาโบนิโตชนิดซาร์ดากระป๋อง (ไทย-ชิลี) เป็นต้น
         
ส่วนตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิ์ GSP มากที่สุด คือ สหรัฐฯ มูลค่า 2,255.25 ล้านเหรียญสหรัฐ  เพิ่มขึ้น 43.94% และมีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 67.10% รองลงมา คือ สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 169.90 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 11.33% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 36.74% รัสเซียและเครือรัฐเอกราช มูลค่า 90.34 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 2.86% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 71.44% และนอร์เวย์ มูลค่า 11.34 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 6.91% มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 64.33%
         
โดยสินค้าส่งออกที่มีการใช้สิทธิ์ GSP สูง เช่น ข้าวโพดหวาน อาหารปรุงแต่ง เนื้อสัตว์แปรรูป ของผสมของสารที่มีกลิ่นหอมชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารหรือเครื่องดื่ม ปลาทูน่ากระป๋อง สับปะรดกระป๋อง เนื้อปลาแบบฟิลเล สด แช่เย็น แช่แข็ง ซอสและของปรุงแต่งสำหรับทำซอส มะพร้าวปรุงแต่ง น้ำหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad