แอสตร้าเซนเนก้า เผยผลการวิเคราะห์การทดลองใช้ยา AZD7442 จากการศึกษาระยะที่ 3 ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงจากโรคโควิด-19 ยืนยันว่ายามีประสิทธิผลสูง - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

แอสตร้าเซนเนก้า เผยผลการวิเคราะห์การทดลองใช้ยา AZD7442 จากการศึกษาระยะที่ 3 ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงจากโรคโควิด-19 ยืนยันว่ายามีประสิทธิผลสูง

  


แอสตร้าเซนเนก้า เผยผลการวิเคราะห์การทดลองใช้ยา AZD7442 จากการศึกษาระยะที่ 3

ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงจากโรคโควิด-19 ยืนยันว่ายามีประสิทธิผลสูง

และสามารถป้องกันโรคได้ในระยะยาว 

จากการติดตามผลการทดลองในช่วง 6 เดือน แสดงให้เห็นว่า AZD7442

สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคโควิด-19 แบบมีอาการได้ถึง 83%

โดยไม่มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตในกลุ่มที่ได้รับยานี้ 

จากอีกการทดลองผู้ป่วยโควิด-19 ที่แสดงอาการและได้รับยาภายในช่วง 3 วันแรกพบว่ายาสามารถลด
ความเสี่ยงในการเกิดโรครุนแรง หรือเสียชีวิตได้ถึง 88%

ข้อมูลล่าสุดจากการทดลองใช้ AZD7442 เพื่อการป้องกันโรคโควิด-19 ภายใต้การศึกษา พรูฟเวนท์ (PROVENT) และการรักษาโรคโควิด-19 สำหรับกลุ่มผู้ป่วยนอก ภายใต้การศึกษา แท็คเคิล (TACKLE) โดยการศึกษาระยะที่ 3 นี้แสดงให้เห็นว่าการฉีดยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long Acting Antibody - LAAB) แบบผสมเข้ากล้ามเนื้อหนึ่งโดสนั้นมีประสิทธิผลสูง

จากการวิเคราะห์ผลการทดลองภายใต้การศึกษา พรูฟเวนท์ (PROVENT)  ได้ติดตามประเมินผลจากผู้เข้าร่วมโครงการในระยะเวลา 6 เดือน แสดงให้เห็นว่าการใช้ยา AZD7442ขนาด 300 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหนึ่งโดส สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคโควิด-19 แบบมีอาการ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo) ได้ถึง 83%

ประชากรทั่วโลกประมาณ 2% มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ลดลง ประชากรเหล่านี้รวมถึงผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด และผู้ป่วยมะเร็งอื่น ๆ ที่ได้รับเคมีบำบัด ผู้ป่วยที่ต้องฟอกไต ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลังจากการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิ ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 2-6 

การทดลอง AZD7442 ภายใต้การศึกษา พรูฟเวนท์ (PROVENT) เป็นการทดลองในระยะที่ 3 โครงการแรกซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อประเมินผลโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ (แอนติบอดี้ที่สร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาว) สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มากกว่า 75% ของผู้เข้าร่วมโครงการพรูฟเวนท์ (PROVENT) เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่เดิม และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งเป็นกลุ่มคน
ที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนน้อยกว่าคนทั่วไป และหากติดเชื้อจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19
 

จากการวิเคราะห์หลักและการวิเคราะห์ผลการรักษาที่ 6เดือนในผู้ที่ได้รับยา AZD7442 นั้น ไม่พบว่ามีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาหลอก พบว่ามีผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรงเพิ่มขึ้น 2ราย
ในการประเมินผลการรักษาที่ระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วมีผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรง 5 ราย และเสียชีวิต 2 ราย ในกลุ่มที่ได้ยาหลอก

จากบทวิเคราะห์ของการทดลองแท็คเคิล (TACKLE) กับผู้ป่วยนอกที่แสดงอาการน้อยถึงปานกลางจากโรคโควิด-19 แสดงให้เห็นว่าการใช้ยา AZD7442 ขนาด 600 มิลลิกรัม 1โดส ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรครุนแรงหรือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุได้ถึง 88% เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอกในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการในช่วง 3 วันแรกหรือน้อยกว่า

ผู้เข้าร่วมการทดลองแท็คเคิล (TACKLE) จำนวน 90% มาจากประชากรที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรครุนแรงหากติดโรคโควิด-19 ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว

การทดลองภายใต้การศึกษาทั้ง พรูฟเวนท์ (PROVENT) และแท็คเคิล (TACKLE) แสดงให้เห็นว่า ผู้เข้ารับการวิจัยการใช้ยา AZD7442 สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้ดี และไม่มีประเด็นด้านความปลอดภัยระบุเพิ่มเติมจากการวิเคราะห์ที่ 6 เดือนภายใต้การศึกษาพรูฟเวนท์ (PROVENT)

ฮิวจ์ มอนต์โกโมรี อาจารย์ภาควิชาเวชบำบัดผู้ป่วยหนัก มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน และหัวหน้าทีมวิจัยของTACKLE กล่าวว่า จากผลลัพธ์ที่น่าสนใจนี้ทำให้เรามั่นใจได้ว่าการใช้ยาแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาวแบบผสมนั้น สามารถทำให้ผู้ป่วยกลุ่มเปราะบางได้รับการป้องกันในระยะยาว พวกเขาจำเป็นที่จะต้องได้กลับไปใช้ชีวิตให้ได้โดยเร็ว สิ่งที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือถึงแม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19สายพันธุ์เดลต้า ยาตัวนี้ยังสามารถป้องกันได้นานถึง 6 เดือน ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนน้อยกว่าคนทั่วไป

เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) ของแอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า “AZD7442 เป็นข้อมูลยาแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาวเพียงชนิดเดียวที่แสดงให้เห็นทั้งประโยชน์ของการป้องกัน ก่อนการสัมผัสโรคและการรักษาโรคโควิด-19 ได้ในโดสเดียว ข้อมูลใหม่นี้ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญในการยืนยันว่าAZD7442 สามารถที่จะป้องกัน และรักษาโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรากำลังดำเนินการยื่นเอกสารขออนุมัติขึ้นทะเบียนยานี้ทั่วโลก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะมีทางเลือกใหม่ในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 โดยเร็ว

รายงานฉบับเต็มจากการศึกษาพรูฟเวนท์ (PROVENT) และแท็คเคิล TACKLE อยู่ในขั้นตอนการยื่นตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และจะมีการนำเสนอในการประชุมทางการแพทย์ต่อไป

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นเอกสารเพื่อขอรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อใช้ยา AZD7442 ในกรณีฉุกเฉิน สำหรับการป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว แอสตร้าเซนเนก้าตกลงที่จะส่งมอบ AZD7442 จำนวน700,000 โดสให้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ หากองค์การอาหารและยาอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงข้อตกลงที่จะส่งมอบให้ประเทศต่างๆด้วย

 

พรูฟเวนท์ (PROVENT)

พรูฟเวนท์ (PROVENT) เป็นการทดลองในระยะที่ 3 แบบการสุ่มและปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง และศึกษาควบคุมด้วยยาหลอก ภายในศูนย์ทดลองหลายแห่ง เพื่อให้ทราบถึงความปลอดภัย และประสิทธิผลของการใช้ยา AZD7442 ขนาด300 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอกในการป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มผู้เข้าร่วมโครงการที่ไม่ได้เป็นโรคโควิด-19 การทดลองนี้ได้ดำเนินการขึ้นทั้งหมด 87แห่งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สเปน ฝรั่งเศส และเบลเยี่ยม มีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวน 5,172 คน โดยสุ่มที่จะได้รับยา AZD7442 หรือยาหลอกในอัตรา 2:1 โดยมีผู้ได้รับยา AZD7442 เป็นจำนวน 3,460 คน และมีคนได้รับน้ำเกลือเป็นยาหลอกจำนวน 1,737 คน ซึ่งเป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อสองจุดต่อเนื่องกัน

 

บทวิเคราะห์หลักได้รายงานเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 มีผู้เข้าร่วมโครงการ 5,172 คน จากข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤษภาคม2564  ประสิทธิผลระดับปฐมภูมิคือการเกิดกรณีแรกที่พบการติดเชื้ SARS-CoV-2 จากการตรวจ RT-PCR เกิดขึ้นหลังจากได้รับการฉีดยาไปแล้วใน 183 วัน ในการติดตามผลที่ระยะเวลา 6 เดือน นั้นประเมินจากผู้เข้าร่วมโครงการ 4,991คน ข้อมูล ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2564 และจะยังคงติดตามต่อไปจนครบ 15 เดือน ผู้เข้าร่วมโครงการที่เลือกจะออกจากการศึกษา พรูฟเวนท์ (PROVENT) เพื่อไปรับวัคซีน จะถูกคัดออกจากข้อมูลการวิเคราะห์หลัก และการวิเคราะห์ที่ 6 เดือน

 

ผู้เข้าร่วมโครงการมีอายุ 18 ปีขึ้นไป และเป็นผู้ได้ประโยชน์จากยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนไม่เพียงพอ (กลุ่มคนที่คาดว่าจะมีการตอบสนองต่อวัคซีนน้อยลงหรือไม่ตอบสนองเลย) หรือรวมไปถึงผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัส และคนที่อยู่ในสถานที่ หรือสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการคัดกรองว่าไม่เคยได้รับวัคซีน และมีผลตรวจโควิด-19 ทางเซรุ่มวิทยาเป็นลบ

 

ผู้เข้าร่วมโครงการราว 43% มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นมากกว่า 75% ของผู้เข้าร่วมโครงการมีโรคประจำตัวและภาวะต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงจากโควิด-19 ซึ่งรวมถึงโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ที่ทานยากดภูมิ ผู้ป่วยเบาหวาน  โรคอ้วนรุนแรง โรคหัวใจ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง และโรคตับเรื้อรัง

 

แอสตร้าเซนเนก้ากำลังดำเนินการยื่นเอกสารในเรื่องของกฏเกณฑ์การใช้ยา AZD7442 ทั่วโลกในกรณีฉุกเฉิน เพื่อใช้ทั้งในการป้องกัน และการรักษา

 

เกี่ยวกับโครงการ แท็คเคิล (TACKLE)

TACKLE เป็นการทดลองในระยะที่ 3 แบบการสุ่มและปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง และศึกษาควบคุมด้วยยาหลอก ภายในศูนย์ทดลองหลายแห่ง เพื่อให้ทราบถึงความปลอดภัย และประสิทธิผลของการใช้ยา AZD7442 ขนาด 600 มิลลิกรัม 
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอกในการรักษากลุ่มผู้ป่วยนอกจากโรคโควิด-19 มีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวน 903 คน โดยสุ่มที่จะได้ยา AZD7442 หรือยาหลอกในอัตรา 1:1 โดยมีผู้ได้รับยา AZD7442 เป็นจำนวน 452 คน และมีคนได้รับน้ำเกลือเป็นยาหลอกจำนวน 451 คน ซึ่งเป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อสองจุดต่อเนื่องกัน 
รายงานฉบับเต็มนำเสนอเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564

ผู้เข้าร่วมโครงการมีอายุ 18 ปีขึ้นไป และเป็นผู้ป่วยนอกโรคโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีอาการในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ผู้เข้าร่วมโครงการต้องได้รับการยืนยันการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ด้วยวิธีการทดสอบเชื้อทางโมเลกุ (การตรวจแอนติเจนหรือกรด นิวคลีอิก) จากตัวอย่างทางระบบทางเดินหายใจ (เช่น ทางช่องปาก ช่องจมูก หรือ น้ำมูก หรือ น้ำลาย) ซึ่งเป็นการเก็บเชื้อมาไม่เกิน 3 วันนับจากที่เข้าร่วมโครงการ

ประสิทธิผลระดับปฐมภูมิประกอบไปด้วยการเกิดโรคโควิด-19 แบบรุนแรง หรือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุที่เกิดขึ้นในช่วง 29 วัน ซึ่งการศึกษานี้จะดำเนินการติดตามผลต่อจนครบ 15 เดือน

ผู้เข้าร่วมโครงการราว 13% มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป นอกจากนั้น 90% ของผู้เข้าร่วมโครงการมีโรคประจำตัวและภาวะต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงจากโรคโควิด-19 ซึ่งรวมถึงโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน โรคปอดเรื้อรัง โรคหอบ โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เกี่ยวกับยา AZD7442

AZD7442 ยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long Acting Antibody - LAAB) ที่ผสมยา LAAB สองชนิด ได้แก่tixagevimab (AZD8895) และ cilgavimab (AZD1061)ซึ่งมาจากบีเซลล์ที่ได้รับการบริจาคจากผู้ที่เคยป่วยจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งถูกค้นพบโดยศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิวท์ และได้อนุญาตให้แอสตร้าเซนเนก้านำมาพัฒนาต่อเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2563 โมโนโคลนอลแอนติบอดีของมนุษย์ 2 ตัวนี้จะมีความจำเพาะที่ต่างกัน เพื่อจับกับโปรตีนหนามของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ SARS-CoV-2 ในคนละจุด7 และถูกพัฒนาต่อโดยแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อขยายระยะเวลาครึ่งชีวิต (half-life) เพื่อเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี้ และปรับให้มีการจับกันของ Fc Receptorและ Complement ชนิด C1q ที่ลดลง โดยการขยาย half-life นั้น สามารถเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี้ได้มากกว่าสามเท่าเมื่อเทียบกับแอนติบอดี้ทั่วไป ซึ่งอาจป้องกันโรคโควิด-19 ได้ยาวนานถึง 12 เดือน จากการใช้ยาเพียงหนึ่งครั้ง8-10 จากข้อมูลของการทดลองในระยะที่ 1 แสดงให้เห็นว่าระดับของแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัส(neutralizing antibody) คงอยู่ได้เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่ 9เดือน11 และการปรับให้มีการจับของ Fc Receptor ที่ลดลงนั้นสามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะ antibody-dependent enhancement (ADE) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่แอนติบอดี้ของเชื้อไวรัสเข้าไปกระตุ้นแทนที่จะยับยั้งการติดเชื้อ12

ยา AZD7442 นี้กำลังอยู่ระหว่างการทดลองเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยที่เข้ารับการนอนโรงพยาบาล โดยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ACTIV-3 ที่สนับสนุนโดยNational Institute of Health ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการศึกษาในผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลอื่นๆ

ยา AZD7442 ที่กำลังพัฒนาอยู่นี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ รวมไปถึงเงินทุนจากหน่วยงานด้านสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ  ภายใต้การกำกับดูแลของOffice of the Assistant Secretary for Preparedness and Response และ Biomedical Advanced Research and Development Authority ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงกลาโหม และ Joint Program Executive Office for Chemical, Biological, Radiological and Nuclear Defense ภายใต้สัญญาหมายเลข W911QY-21-9-0001

ข้อมูลจากการทดลองระยะพรีคลินิก พบว่ายา LAAB สามารถยับยั้งการจับตัวกันของไวรัส SARS-CoV-2 กับเซลล์ร่างกาย และช่วยป้องกันการติดเชื้อในเซลล์ จากตัวอย่างการทดลองการติดเชื้อในสัตว์13 นอกจากนี้ผลจากการทดสอบในหลอดทดลอง ยังแสดงให้เห็นว่ายา AZD7442 สามารถยับยั้งเชื้อSARS-CoV-2 ที่มีการกลายพันธุ์ซึ่งรวมถึงเชื้อ Delta และMu ด้วย14 

ภายใต้ข้อตกลงกับแวนเดอร์บิวท์ แอสตร้าเซนเนก้าจะจ่ายส่วนแบ่งค่าสิทธิจากยอดขายในอนาคต

เกี่ยวกับ แอสตร้าเซนเนก้า

แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนาและจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จากแอสตร้าเซนเนก้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปยังเว็บไซต์ astrazeneca.com และช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZeneca

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad