PwC แนะธนาคารและภาคการเงินของไทย
ตื่นตัวในเรื่องการบริหารความเสี่ยงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ
หลังมีแนวโน้มว่า จะมีการนำ Climate Risk Stress Test มาใช้ในอนาคตอันใกล้
ชี้หน่วยงานกำกับดูแลในสิงคโปร์-มาเลเซีย
ออกข้อแนะนำและแนวปฏิบัติในการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ผลการทดสอบ CST ของ ECB พบธนาคารในยูโรโซนส่วนใหญ่
ไม่ได้นับรวมความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศไว้ในโมเดลด้านสินเชื่อของตน
นางสาว สุ อารีวงศ์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย
เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก
รวมทั้งกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตื่นตัวในการประเมินการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
หรือ สภาพภูมิอากาศ กับการดำเนินงานของธนาคารมากขึ้น
โดยธนาคารกลางของสิงคโปร์[1] และ มาเลเซีย[2]
ได้ออกข้อแนะนำและแนวปฏิบัติในการนำปัจจัยความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม
มาเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร ซึ่งในทางทฤษฎี
การนำความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม
มาเป็นปัจจัยส่วนเพิ่มในการบริหารความเสี่ยงที่ธนาคารมีอยู่เดิม
จะทำให้ธนาคารสามารถประเมินผลกระทบของความเสี่ยงได้อย่างมีความแม่นยำมากขึ้น
“กระแสของการดำเนินธุกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
หรือ ESG
ถือเป็นหนึ่งในพลวัตสำคัญของโลกที่ทุกภาคส่วนรวมทั้งหน่วยงานกำกับร่วมกันผลักดัน
ทำให้เกิดเป็นแนวทางปฏิบัติ requirement และกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ
ที่ภาคธุรกิจจะต้องปฏิบัติตามเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาโลกร้อน” นางสาว สุ
กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อปลายปี 2564 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ได้ออกประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลงานกองทุนโดยทางการ (Pillar
2)[3] โดยเพิ่มการคำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social and
Governance) ในกระบวนการประเมินความเสี่ยงของเงินกองทุน ซึ่งถึงแม้ว่า ธปท.
อาจจะยังไม่ได้ออกแนวทางที่ชัดเจนในปัจจุบัน นางสาว สุ กล่าวว่า
การเปลี่ยนแปลงในหลักเกณฑ์ดังกล่าว ถือได้ว่า
เป็นสัญญาณการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในหลักเกณฑ์การนำปัจจัยด้าน ESG
มาใช้ในการบริหารความเสี่ยงในอนาคตของธนาคาร
“สำหรับไทยเวลานี้ regulator ของเราน่าจะอยู่ในช่วงศึกษา
และพิจารณาแนวทางที่ทางธปท. จะออกมาเป็นแนวปฏิบัติ
แต่ถ้าประเมินจากสิ่งที่ประเทศเพื่อนบ้านได้ทำไปบ้างแล้ว เราน่าจะเห็นการนำ
Climate Stress Testing หรือ Environment Stress Testing
มาใช้กับภาคธนาคารของไทยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งตัวอย่างของปัจจัยและสถานการณ์ต่าง
ๆ ที่จะนำมาใช้ในการทำ Stress Testing เช่น ปัญหาภาวะโลกร้อน
และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนี้
แบงก์จะต้องตื่นตัวในการบริหารความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เธอ กล่าว
ล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรป (European Central
Bank: ECB) ได้ประกาศผลการทดสอบภาวะวิกฤตด้านความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ
(Climate Risk Stress Test: CST)[4] พบว่า
ธนาคารส่วนใหญ่นับรวมความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศเข้าในกรอบการทดสอบภาวะวิกฤต
แต่ยังขาดประสิทธิภาพและข้อมูลที่เพียงพอ
ทั้งนี้ ผลการทดสอบ CST ของ ECB ที่ถูกจัดทำในช่วงไตรมาสที่ 2
แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าธนาคารในยูโรโซนส่วนใหญ่ จะตื่นตัวในการนำ ESG
มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ และการบริหารความเสี่ยง
แต่ยังพบว่ามีความท้าทายจากการจัดทำแบบทดสอบนี้
เนื่องจากมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ
อีกทั้งกระบวนการจัดทำรายงานภายในของธนาคารมีความยุ่งยากและซับซ้อน
ระบบการเปิดเผยข้อมูลที่มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน และ Climate Risk
Framework ที่อาจจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ดังนั้น การจัดทำ CST
ของ ECB ครั้งนี้
จึงถือเป็นการเรียนรู้ร่วมกันของทั้งหน่วยงานกำกับและธนาคารในแถบยุโรป
นางสาว สุ กล่าว
แนะธนาคารผนวกการบริหารความเสี่ยงวิฤตภูมิอากาศ เข้ากับการดำเนินธุรกิจ
นางสาว สุ กล่าวต่อว่า
ในระยะต่อไปจะเห็นภาคธุรกิจธนาคารยิ่งต้องปรับกลยุทธ์
โดยผนวกการบริหารความเสี่ยงที่พิจารณาถึงความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และ
ESG Risk อื่น ๆ เข้ากับการดำเนินธุรกิจมากขึ้น เช่น
มีการพิจารณาถึงผลกระทบจากระดับ ESG Risk ของลูกค้าแต่ละราย
และมีการนำผลกระทบดังกล่าว
มาใช้ในการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าที่มีธุรกิจที่มีความเสี่ยงด้าน
ESG ต่ำ รวมไปถึง การออกสินเชื่อสีเขียว (Green loan) ซึ่งปัจจุบัน
เริ่มเห็นธนาคารหลายแห่งออกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ หรือ
มีการพูดคุยกับลูกค้าถึงแนวทางบริหารความเสี่ยงด้าน ESG
และมีการเก็บข้อมูลที่จำเป็นต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งฐานข้อมูล
ที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ผลกระทบของความเสี่ยงด้าน ESG
ให้มีความแม่นยำมากขึ้น
“ธนาคารต้องเชื่อมต่อตัวธุรกิจเข้ากับแผนการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG
ให้เป็นแบบ End-to-end framework ครอบคลุมไม่ใช่แค่ตัวธุรกิจ
แต่รวมถึงสังคม คู่ค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้
ควรนำเครื่องมือเข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยง และออกผลิตภัณฑ์ หรือ
ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
เพื่อช่วยให้องค์กรจัดการกับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
เธอ กล่าว
นอกจากนี้ รายงาน Risk and Regulatory Outlook 2022 ของ PwC
ยังได้แนะนำแนวทางในการ
เตรียมตัวสำหรับธนาคารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หากมีการนำแบบทดสอบภาวะวิกฤตด้านความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศมาใช้
ดังต่อไปนี้
- สร้างความสามารถด้านข้อมูลสำหรับสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
นอกเหนือจากการเก็บข้อมูลตัวชี้วัดความเสี่ยงด้านเครดิต
ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติในปัจจุบัน
ธนาคารควรเริ่มเก็บข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ (เช่น อุณหภูมิ
และระดับน้ำในส่วนภูมิภาคต่าง ๆ) และ การปล่อยแก๊สเรือนกระจก
ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ หรือ การวิเคราะห์เชิงสถิติได้ในอนาคต
โดยอาจมีการแบ่งประเภทของข้อมูลตามกลุ่มอุตสาหกรรม ทำเลที่ตั้ง
หลักที่มีความสำคัญกับลูกค้า (เช่น แหล่งของวัตถุดิบต้นน้ำ หรือ
แหล่งรายได้หลักของลูกค้า) และทำเลที่ตั้งของหลักประกันด้านอสังหาริมทรัพย์
เพื่อให้ง่ายต่อการนำข้อมูลมาใช้
และทำให้การประเมินผลกระทบมีความถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น
- ร่วมมือกับลูกค้าเพื่อการเปิดเผยข้อมูล ESG ที่มีคุณภาพ
ด้วยการจัดทำผลสำรวจเพื่อสอบถามและศึกษาข้อมูลของลูกค้า
โดยเพิ่มคำถามเกี่ยวกับขอบเขตคาร์บอนฟุตพริ้นท์ว่า อยู่ในระดับใด
รวมทั้งแผนการปรับตัว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้
จะสามารถถูกนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
และช่วยในการตัดสินใจด้านการจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
- มีจุดยืนเชิงกลยุทธ์สำหรับ Sustainable Financing
ธนาคารที่มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของแผนธุรกิจที่ยั่งยืน
จะสามารถตอบสนองกับความต้องการของหน่วยกำกับดูแล
และการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้ดี ซึ่งรวมถึงกรอบการทดสอบ CST
ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
- ผนวกความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ
เข้ากับกรอบการบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ในปัจจุบัน
การบริหารความเสี่ยงในปัจจุบัน หมายรวมถึง ความเสี่ยงด้านตลาด เครดิต
การปฏิบัติการ และสภาพคล่อง เป็นต้น ซึ่งในอนาคต
กรอบการบริหารความเสี่ยงดังกล่าว จะสามารถระบุ
และประเมินผลกระทบความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
ซึ่งสามารถนำมาสนับสนุนการบริหารงานเชิงธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ยกระดับทักษะและความรู้การบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศภายในองค์กร
เพื่อให้ธนาคารสามารถปรับตัวตามข้อกำหนด
และการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศได้ นอกจากนี้
ธนาคารควรสนับสนุนให้ทีมงานบริหารและพิจารณาความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ
ซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยความเสี่ยงหนึ่ง
เสมือนกับปัจจัยความเสี่ยงที่ธนาคารพิจารณาอยู่แต่เดิม
- อัปเดตกระบวนการกำกับดูแลที่มีอยู่ให้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
โดยอาจปรับปรุงแนวทางการบริหารความเสี่ยง การวิเคราะห์ และ Stress Testing
ที่มีอยู่เดิมให้รวม หรือ สะท้อนถึงความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
และมีการนำข้อมูลมาตรวจสอบความถูกต้องของสมมติฐานต่าง ๆ
ที่ใช้ในการประเมินผลกระทบ เพื่อให้การคาดการณ์ของธนาคารมีความแม่นยำขึ้น
- นำผลการประเมิน Climate Risk Stress Testing
มาใช้ในการบริหารพอร์ตโฟลิโอของธนาคาร
เมื่อธนาคารสามารถประเมินถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในสถานการณ์ต่าง
ๆ ธนาคารจะสามารถนำข้อมูลนั้นมาปรับใช้ในการบริหารพอร์โฟลิโอของตน
เพื่อมีระดับ Risk vs Return ที่เหมาะสม
และคุ้มค่ากับระดับเงินกองทุนที่ธนาคารต้องมีรองรับความเสี่ยงนั้น ๆ
นางสาว สุ กล่าวว่า
การจัดเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมในอดีตที่ยังคงมีไม่เพียงพอ
ถือเป็นความท้าทายของการบริหารความเสี่ยงของภาคธุรกิจไทย
รวมไปถึงกลุ่มประเทศในภูมิภาคนี้
เพราะทำให้การประมาณการความเสียหายจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นไม่ครอบคลุมทุกมิติ
และอาจจะไม่มีความแม่นยำเท่าที่ควร ดังนั้น ภาคธุรกิจควรต้องพิจารณาว่า
ข้อมูลอะไรบ้างที่สามารถนำมาใช้ต่อยอดการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG ในอนาคต
และภาครัฐควรให้การสนับสนุนการจัดเก็บข้อมูล เพื่อให้การดำเนินการด้าน ESG
ในทุกภาคส่วนมีการพัฒนาขึ้น
[1] Guidelines on Environmental Risk Management for Banks, Monetary Authority of Singapore
[2] Exposure Draft on Climate Risk Management and Scenario Analysis, Bank Negara Malaysia
[3] การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลงานกองทุนโดยทางการ (Pillar 2), ธนาคารแห่งประเทศไทย
[4] Banks must sharpen their focus on climate risk, ECB supervisory stress test shows, ECB
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น