PwC และ NUS เผยผลการศึกษาการจัดทำรายงานความยั่งยืนของ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ช่องว่างที่สำคัญยังคงอยู่ - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566

PwC และ NUS เผยผลการศึกษาการจัดทำรายงานความยั่งยืนของ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ช่องว่างที่สำคัญยังคงอยู่

 

PwC และ NUS เผยผลการศึกษาการจัดทำ

รายงานความยั่งยืนของ

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก


มีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ช่องว่างที่สำคัญยังคง

อยู่ 

  • การเปิดเผยโดยรวมถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศและ/หรือโอกาสที่ถูกระบุในรายงานความยั่งยืนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 77% ในปี 2564 เป็น 88% ในปี 2565
  • บริษัทในเขตอำนาจการปกครองส่วนใหญ่มีการกำหนดเป้าหมายด้าน ESG (92%) แต่มีเพียง 51% เท่านั้น ที่เปิดเผยเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และมีเพียง 42% ที่มีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามกรอบโครงการริเริ่มกำหนดเป้าหมายที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets Initiative: SBTi) มีเพียง 16% เท่านั้นที่รายงานว่าเป้าหมายของพวกเขาได้รับการรับรองโดย SBTi
  • 80% ของบริษัทกำลังเปิดเผยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Scope 1) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Scope 2) ซึ่งการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Scope 1 และ 2 มีการพัฒนามาถึงจุดสูงสุด นอกจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว บริษัทส่วนใหญ่ทั่วทั้งภูมิภาคยังคงต้องมีการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ (Scope 3) ที่มีความสมบูรณ์มากขึ้น
  • มีบริษัทเพียง 36% เท่านั้นที่รายงานว่าคณะกรรมการ หรือทีมผู้บริหารของพวกเขาได้รับการฝึกอบรมด้านความยั่งยืนในปี 2565 (เปรียบเทียบกับ 24% ในปี 2564)
  • บริษัทที่ได้รับการตรวจสอบการเปิดเผยข้อมูล ESG จากภายนอกเพิ่มขึ้นจาก 37% ในปี 2564 เป็น 49% ในปี 2565 แต่การปรับปรุงสามารถทำได้ทั่วทั้งภูมิภาค ยกเว้นประเทศเกาหลีใต้และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)

กรุงเทพฯ, 7 สิงหาคม 2566 – ในขณะที่นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีการเชื่อมต่อคุณค่าทางธุรกิจเข้ากับความสามารถในการสำรวจความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น บริษัทต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กำลังแสดงความคืบหน้าในการจัดทำรายงานความยั่งยืนในประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ตามรายงาน Sustainability counts II: Sustainability reporting in Asia Pacific ซึ่งเป็นการศึกษาของ PwC ประเทศสิงคโปร์ และศูนย์ธรรมาภิบาลและความยั่งยืน (The Centre for Governance and Sustainability: CGS) คณะวิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore (NUS) Business School) ทั้งนี้ การวิเคราะห์รายงานความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน 50 อันดับแรกตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดครอบคลุม 14 ประเทศและอาณาเขตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก[1] ซึ่งผลการศึกษานี้ที่ได้ถูกเผยแพร่ ณ งาน Ecosperity Week 2023 ยังเผยให้เห็นถึงช่องว่างของการจัดทำรายงานและการเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่ยังคงมีอยู่สำหรับธุรกิจเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีเส้นทางที่แข็งแกร่งและปฏิบัติได้จริงของการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 หรือช่วงกลางศตวรรษ และเน้นให้เห็นถึงความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งธุรกิจต่าง ๆ จะต้องเผชิญ

ศาสตราจารย์ ลอว์เรนซ์ โลห์ ผู้อำนวยการ CGS คณะวิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า “การศึกษาเน้นทั้งความคืบหน้าและช่องว่างในการจัดทำรายงานความยั่งยืนขององค์กรทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งแม้ว่าเราจะเห็นการเพิ่มขึ้นของการเปิดเผยความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ แต่สิ่งที่สำคัญ คือ จะต้องระแวดระวังเกี่ยวกับช่องว่างที่สำคัญ ๆ เช่น เป้าหมายการลดการ

ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากห่วงโซ่คุณค่าของบริษัท) และในบรรดาบริษัทที่เปิดเผยถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 มีเพียง 5% เท่านั้นที่รายงานว่า มีการเปิดเผยข้อมูลในระดับที่ครอบคลุม ซึ่งจำเป็นต่อการความเข้าใจภาพรวมของการปล่อยก๊าซคาร์บอนของบริษัท และมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าอย่างมีประสิทธิภาพ

การยกระดับทักษะด้านความยั่งยืนสำหรับคณะกรรมการและทีมบริหารยังอยู่ในระดับต่ำ

36% ของบริษัทที่ทำการศึกษารายงานว่า คณะกรรมการหรือทีมบริหารของพวกเขาได้เข้าร่วมหรือได้รับการฝึกอบรมด้านความยั่งยืนในปี 2565 เพิ่มขึ้นจาก 24% ในปี 2564 แต่แม้ว่าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น อัตราดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ และชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับทักษะด้านความยั่งยืนในระดับผู้นำ เพื่อให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ความก้าวหน้า และการกำกับดูแลของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สถานการณ์ของการรับรองรายงานความยั่งยืน

สำหรับการให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนของบริษัทแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในธุรกิจของพวกเขานั้น ผลการศึกษาพบว่า มีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่ได้รับการตรวจสอบการเปิดเผยข้อมูล ESG ของพวกเขาจากหน่วยงานอิสระภายนอก โดยเพิ่มขึ้นจาก 37% ในปี 2564 เป็น 49% ในปี 2565 และเมื่อพิจารณาถึงสามในสี่ของนักลงทุนที่ถูกสำรวจในรายงาน Global Investor Survey ของ PwC เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ระบุว่า พวกเขาจะมีความมั่นใจในการจัดทำรายงานความยั่งยืนมากขึ้น หากรายงานความยั่งยืนได้รับการตรวจสอบในระดับเดียวกับงบการเงินของบริษัท โดยธุรกิจต่าง ๆ จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือในระดับที่สูงขึ้นเกี่ยวกับการจัดทำรายงานความยั่งยืนผ่านการได้รับการรับรองจากหน่วยงานภายนอก

หนทางข้างหน้าของการจัดทำรายงานความยั่งยืน

รายงานยังได้เน้นถึงความท้าทายอันดับต้น ๆ ที่ธุรกิจต้องเผชิญเกี่ยวกับการจัดทำรายงานความยั่งยืน รวมถึงการพัฒนามาตรฐานและกรอบการรายงานความยั่งยืนที่สำคัญ ๆ ซึ่งผู้จัดทำรายงานความยั่งยืนจำเป็นที่จะต้องติดตาม

นางสาว ฟาง ยู ลิน หัวหน้ากลุ่มลูกค้าความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ PwC ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า “ความท้าทายที่ธุรกิจกำลังเผชิญเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันของมาตรฐานในการรายงานความยั่งยืนที่สำคัญ ๆ ทั่วทุกภาคส่วน จะทำให้หลายบริษัทต้องพัฒนาแผนงานเชิงกลยุทธ์และแผนการดำเนินงาน ในขณะเดียวกัน จะต้องให้ความสำคัญกับการรับรองความเชื่อมั่นของการจัดทำรายงานความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย”

ด้านนาย ชาญชัย ชัยประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “บริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยมีการจัดทำรายงานความยั่งยืน หรือ Sustainability Report มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะเห็นว่าบริษัทใน SET25 มีการจัดทำรายงานความยั่งยืนกันแทบทั้งสิ้น ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนใน SET50 และ SET100 ก็มีแนวโน้มในการจัดทำเพิ่มขึ้นเช่นกันเป็นผลมาจากการตื่นตัวและตระหนักรู้ถึงผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่มีต่อโลก สังคม และองค์กร อย่างไรก็ดี ในปี 2566 พบว่า มีบริษัทไทยเพียงหกแห่งเท่านั้นที่ได้การรับรองโดย SBTi และมี 27 แห่งที่มีการเปิดเผยถึงความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศตามมาตรฐานของ TCFD”

“เป็นเรื่องน่ายินดีที่บริษัทจดทะเบียนของไทยตื่นตัวในเรื่องการจัดทำรายงานความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าการตรวจสอบการเปิดเผยข้อมูลในรายงานความยั่งยืนจากหน่วยงานภายนอกที่เป็นอิสระจะยังคงมีน้อยมากในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการจัดทำรายงานยังไม่แพร่หลายในวงกว้าง โดยคาดว่าน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าปีนับจากนี้ถึงจะเห็นบริษัทจดทะเบียนมีการตรวจสอบการรายงานความยั่งยืนกันอย่างแพร่หลาย” นาย ชาญชัย กล่าว

นาย ชาญชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้บริหารบริษัทไทยควรเร่งตระหนักและทำความเข้าใจถึงความจำเป็นในการจัดทำกลยุทธ์และแผนการลดคาร์บอน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกว่า ‘Net Zero Company’ เพราะมีมาตรการที่บริษัทที่ส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มสหภาพยุโรปต้องปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกรีนดีล (European Green Deal) หรือ มาตรการลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 55 ภายในปี 2573 ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการสินค้าส่งออกของไทยในห้าธุรกิจหลัก ได้แก่ บริการไฟฟ้า ซีเมนต์ ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม ดังนั้น บริษัทที่ประกอบธุรกิจเหล่านี้และมีการส่งสินค้าไปยุโรปจึงต้องเร่งปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจก่อนที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2566[2] นอกจากนี้ ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็ให้ความสำคัญในการออกมาตรการและนโยบายด้าน climate change ด้วยเช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad