อิปซอสส์ เผยผลวิจัยชุดล่าสุด ชุด SEA AHEAD wave 6 ภาพรวมมั่นใจสภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว แต่วิตกกังวล “เงินเฟ้อ” สูงสุดแทน โควิด ไม่มั่นใจด้านรายได้
อิปซอสส์ เผยผลวิจัยชุดล่าสุด ชุด SEA AHEAD wave 6 ภาพรวมมั่นใจสภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว แต่วิตกกังวล “เงินเฟ้อ” สูงสุดแทน โควิด ไม่มั่นใจด้านรายได้
ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสุขภาพ และ เลือกที่จะตัดรายจ่ายกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นและสินค้าราคาแพง โดยกลุ่มที่มีการซื้อมากขึ้น คือ กลุ่มอาหาร มาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด สินค้าส่วนบุคคล ภัตตาคารและร้านกาแฟ และ เสื้อผ้า-รองเท้า-เครื่องประดับ ตาม ลำดับ
วันที่ 26 ตุลาคม 2565 ณ ห้องประชุม เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ บริษัท อิปซอสส์ จำกัด (Ipsos Ltd.) ผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค ผู้ให้บริการงานวิจัยที่ทำการออกแบบเฉพาะรายแบบครบวงจร Customized One Stop Research Solution Service โดย นายภาคี เจริญชนาพร Country Service Line Leader ได้เปิดเผย – ข้อมูลวิจัยชุดพิเศษ SEA AHEAD wave 6 “สถานการณ์โควิด-19 ระลอก 6 จากการแพร่ระบาด สู่ โรคประจำถิ่น ที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค แบรนด์สินค้า และ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชากร ตลอดจน แนวทางการรับมือสำหรับแบรนด์และนักการตลาด โดย อิปซอสส์ ได้ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ชุดวิจัยและสำรวจนี้นับเป็นชุดที่ 6 ทำการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3,000 ราย เป็นชาย 49 หญิง 51 สำหรับ 5 ช่วงอายุ รวมถึง กลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ โดยสำรวจตลาดสำคัญ ในแถบภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวม 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และ ประเทศไทย ทำการสำรวจระหว่างเดือน พฤษภาคม - มิถุนายน 2565 พร้อมถามถึงความคิดเห็นสำหรับการคาดการในอีก 6 เดือนในอนาคต อีกด้วย
นายภาคี เปิดเผยว่า โดยภาพรวมความเชื่อมั่นของประชากรในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกเฉียงใต้ กับสถานการณ์โควิด ที่มีการเปลี่ยนจากภาวการณ์แพร่ระบาด สู่ โรคประจำถิ่น โดย อินโดนีเซียมีความเชื่อมั่นสูงสุด และ ไทยในอัตราต่ำสุด มีสถิติ ดังนี้ อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงค์โปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และ ไทย ในอัตรา 85% 81% 74% 68% 65% และ 55% ตามลำดับ ทั้งนี้ พฤติกรรมของประชากรชาวไทยเกี่ยวกับกิจกรรมที่อยากทำในอีก 3 เดือนข้างหน้า เรียงตามลำดับดังนี้ - ไปเยี่ยมเพื่อนและครอบครัวที่บ้าน ไปภัตตาคาร ท่องเที่ยวภายในประเทศ ไปร่วมงานวัฒนธรรมและงานชุมนุม ใช้บริการรถขนส่งมวลชน ไปเข้ายิมและทำกิจกรรมด้านกีฬา ไปเที่ยวต่างประเทศ ในอัตรา 67%, 63%, 60%, 50%, 49%, 49% และ 43% ตามลำดับ
นอกจากนี้ กิจกรรมที่ทำในช่วงการแพร่ระบาดโควิด คือ เน้นสุขภาพ และ ช้อปปิ้ง ออนไลน์ โดย 96% ยอมทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น เพื่อการดูแลสุขภาพร่างกายตนเองให้ดียิ่งขึ้น และ 83% ยอมตัดความสะดวกสบายบางอย่าง เพื่อเอาเงินไปซื้อสินค้าด้านสุขภาพ
คนไทยนิยมซื้อผ่านการ ไลฟ์สตรีม โดยแพลตฟอร์ม ที่นิยม คือ โซเชียลมีเดีย อี-คอมเมิร์ช
นายภาคี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ยังคงเป็นที่ช่องทางที่เติบโตอย่างต่อ เนื่อง โดยสถิติการซื้อของออนไลน์ใน 6 เดือนที่ผ่านมา เปรียบเทียบระหว่างช่วง พ.ย. 64 ถึง พ.ค. 65 สำหรับกิจกรรม มีการซื้อมากขึ้น / การซื้อเท่าเดิม และ ซื้อน้อยลง ดังนี้ : - ซื้อมากขึ้นเป็นสัดส่วน 51 : 47% / เท่าเดิม 32 : 36% / ซื้อน้อยลง 13 :14% และ ไม่ระบุ
จะเห็นว่าเปอร์เซ็นต์ที่มีการซื้อเท่าเดิมสูงขึ้น ส่วนการซื้อมากขึ้นกลับมีพฤติกรรมในการซื้อลดลง และ จำนวนคนกลุ่มที่ซื้อน้อยลง มีอัตราสูงขึ้นเล็กน้อย
ทั้งนี้ ประเภทสินค้าที่ซื้อ ได้แก่ เสื้อผ้า / รองเท้า /แฟชั่น - สินค้าส่วนบุคคล และ ผลิตภัณฑ์ด้านความงาม กลุ่มอา/หาร กลุ่มของใช้ในบ้าน กลุ่มเครื่องดื่ม ของเล่นและเกม ผลิตภัณฑ์ซ่อมแซมบ้าน
ผู้บริโภคไทยยังคงนิยมซื้อของผ่านช่องทางออฟไลน์ เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์ เป็นอันดับ 1 ร้านสะดวกซื้อและร้านโชห่วยตามมาติดๆ แต่สัดส่วนของการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ก็มีไม่น้อยเช่นกัน
โดยช่องทางการจับจ่าย และความถี่ในการจับจ่าย โดยมีสถิติเฉลี่ย เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ความถี่เดือนละครั้ง และ สัปดาห์ละครั้งหรือมากกว่า ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
Supermarket-Hyper market 43 : 39 = 82% CVS-Minimart 38 : 43 = 81% Traditional Grocery store 35 : 44 = 79% Wet market 33 : 40 = 73%
E Commerce 40 : 34 = 74% Social network seller 27 : 24 = 51%
โดยแพลตฟอร์ม การไลฟ์สตรีม ช็อปปิ้ง ที่นิยม คือ โซเชียลมีเดีย และ อี คอมเมิร์ช ด้วยสัดส่วน 87’% ไลฟ์ผ่าน โซเชี่ยลมีเดีย (เฟสบุ๊ค / ยูทูป / อินสตราแกรม ไลฟ์) 71% อี คอมเมิร์ช (Shoppee Lazada)
ประชากรในกลุ่ม SEA มีความเชื่อมั่นในภาพรวมความเชื่อมั่นของสภาวะเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนความคิดเห็นด้านสถานะทางด้านการเงินในครัวเรือน ในอีก 6 เดือน ดีขึ้น / เหมือนเดิม หรือ แย่ลง โดยอัตราที่ สถานภาพทางการเงินดีขึ้น 27% และ คิดว่าแย่ลง 36% ส่วนเท่าเดิม คือ 37% โดยความมั่นใจว่าในสถานะภาพ ด้านการเงินในครัวเรือน ในอีก 6 เดือนข้างหน้า (จาก พ.ค. 2565) การเงินดีขึ้น เหมือนเดิม และ แย่ลง ในอัตรา 51% 32% และ 17% ตามลำดับ เป็นผลให้ประชากรส่วนใหญ่จะมีการตัดงบหรือชะลอการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ราคาแพง โดยกลุ่มสินค้าที่มีการจับจ่ายมากขึ้น และ กลุ่มที่มีการซื้อลดลง เป็นสัดส่วน ดังนี้
กลุ่มที่มีการซื้อมากขึ้น คือ อาหารสำหรับปรุงเองที่บ้าน ผลิตภัณฑ์ด้านทำความสะอาด สินค้าส่วนบุคคล ภัตตาคารและร้านกาแฟ และ เสื้อผ้า-รองเท้า-เครื่องประดับ ในอัตรา 50% 35% 31% 22% และ 19% ตามลำดับ
ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการที่มีการใช้จ่ายน้อยลง ได้แก่ การท่องเที่ยวภายในประเทศ ท่องเที่ยวต่างประเทศ กิจกรรมด้านวัฒนธรรม ภัตตาคารและร้านกาแฟ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า ในอัตรา 40% 39% 38% 33% และ 30% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทย ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันถึง 4 เดือน
คนไทยเลือกแบรนด์แบรนด์ที่สะท้อนภาพลักษณ์และคุณค่าของตนเอง และอยากให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวช่วยในการเลือกสินค้าและบริการ
ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย 71% ยินดีจ่ายเพิ่มให้กับแบรนด์ที่สามารถเสริมภาพลักษณ์ให้ตนเอง และ 74% เลือกซื้อแบรนด์ที่สะท้อนคุณค่าให้กับตนเองได้ แต่สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่จะให้คุณค่าต่อแบรนด์มากกว่าอัตราเฉลียของภาพรวมการบริโภค ดังนี้ 76% ของคนไทย Gen Z มักเลือกซื้อแบรนด์ที่สะท้อนถึงคุณค่าส่วนตัว 73% ยินดีจ่ายเพิ่มให้กับแบรนด์ที่สร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง
ทั้งนี้ ในยุคที่ข้อมูลล้นหลามและเข้าถึงได้โดยง่าย กระบวนการตัดสินใจที่ไม่ยุ่งยาก เป็น กุญแจสำคัญสำหรับแบรนด์สินค้าและนักการตลาด ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภค ในการหาตัวช่วยในการช่วยตัดสินใจ โดย 69% ของผู้บริโภคชาวไทยต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญเลือกผลิตภัณฑ์และบริการแทนการตัดสินใจเอง
ความวิตกกังวลและความเชื่อมั่นในสภาวะเศรษกิจ หลังโควิด สู่ โรคประจำถิ่น ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนของรายได้ เป็นปัญหาที่วิตกกังวลสูงสุด
ความกังวลด้านเงินเฟ้อมีอัตราสูงขึ้นอย่างเป็นนัยสำคัญ ส่วน โรคระบาดโควิด-19 มีอัตราลดต่ำลงอย่างเด่นชัด ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวก็เป็นปัจจัยด้านความกังวลใจของประชากรทั่วโลก และ ประชากรในกลุ่ม SEA เช่นกัน แต่ลำดับความกังวลใจแตกต่างกัน
อิปซอสส์ สรุปปัญหาและปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจ พร้อม แนะ แนวทางการรับมือวิกฤตตลาด
ผู้บริโภคในกลุ่มประเทศ SEA โดยเฉพาะคนไทย ต่างวิตกกังวลในความไม่แน่นอนของสุขภาพทางการเงินในอนาคต ซึ่งนำไปสู่อารมณ์ที่อ่อนไหว ดังนี้
1. ถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2564 อย่างไรก็ ตาม อัตราเงินเฟ้อได้กลายเป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความวิตกกังวลเป็นอย่างสูง แทนความกลัวต่อโรคระบาด โควิด-19
2. ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความพยายามในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ในโลก แต่ประชากรต่างก็ยังมีวิตกกังวลถึงผลกระ ทบของภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถพลิกฟื้นได้ดีเท่าที่ควร
3.ภาวะเงินเฟ้อและราคาที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการครองชีพและรายได้ ซึ่งถือเป็น สถานการณ์ที่ยากลำบากของผู้ที่ยังรอคอยการฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19
4. เนื่องจากผู้บริโภคจำต้องจับจ่ายเกี่ยวกับกลุ่มอาหาร ของใช้ส่วนตัว และ เชื้อเพลิง มากขึ้น ทำ ให้พวกเขาต้องตัดงบสำหรับกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นและที่มีราคาสูง ไว้ก่อน ทำให้พฤติกรรม การซื้อของผู้บริโภคหันมาคำนึงถึงคุณค่าสินค้าเพื่อความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แบรนด์จำเป็นต้องคำนึงถึงจุดแข็ง และ กลยุทธด้านราคาที่ส่งผลต่อความอ่อนไหวด้านความรู้สึกของ ผู้บริโภคในภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจน ต้องพิจารณา ปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบในการทำแผนการตลาด
5. ผู้บริโภคจะเลือก "ผู้เชี่ยวชาญ" มากกว่า “อินฟลูเอนเซอร์” เพียงอย่างเดียว ยิ่งกว่านี้ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์สินค้าที่สะท้อนคุณค่าของตัวตนและความคุ้มค่า จุดนี้อาจใช้ให้เกิด ประโยชน์ ต่อ แบรนด์สินค้าในการชนะใจผู้บริโภค และ การสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
ไม่มีความคิดเห็น