SCB CIO มอง3ปัจจัยหลักหนุนตลาดหุ้นเวียดนาม ฟื้นตัวต่อเนื่อง แนะทยอยลงทุนValuationยังต่ำพร้อมโอกาส ยกระดับเข้าตลาดเกิดใหม่ - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

SCB CIO มอง3ปัจจัยหลักหนุนตลาดหุ้นเวียดนาม ฟื้นตัวต่อเนื่อง แนะทยอยลงทุนValuationยังต่ำพร้อมโอกาส ยกระดับเข้าตลาดเกิดใหม่


SCB CIO มอง3ปัจจัยหลักหนุนตลาดหุ้นเวียดนาม

ฟื้นตัวต่อเนื่อง

  แนะทยอยลงทุนValuationยังต่ำพร้อมโอกาส

ยกระดับเข้าตลาดเกิดใหม่


SCB CIO มองเศรษฐกิจเวียดนามปีนี้เดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่  การฟื้นตัวจากภาคส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการบริโภคภายในประเทศ พร้อมมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการคลังช่วยหนุนเศรษฐกิจเวียดนามเติบโต รัฐบาลตั้งเป้าปีนี้ GDP โต 6.0 - 6.5%  SCB CIO ได้ปรับมุมมองตลาดหุ้นเวียดนาม จาก Neutral สู่ Slightly Positive  แนะทยอยสะสม คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนผ่านจุดต่ำสุดแล้ว  และมีโอกาสถูกยกระดับเป็นตลาดเกิดใหม่  การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ให้จัดอยู่ใน Opportunistic Portfolio เป็นพอร์ตส่วนเพิ่มเติมที่ลงทุนตามสถานการณ์ เนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูง จึงแนะนำลงทุนในสัดส่วนตามระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ 

ดร.กำพล  อดิเรกสมบัติ  ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO)  ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า   ในปี  2567   เศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวด้วยแรงหนุนจากภาคส่งออก และ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ดีต่อเนื่อง โดยรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าหมาย GDP ขยายตัว 6.0% - 6.5% และเป้าหมายอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.0% - 4.5% ซึ่ง SCB CIO มองว่า เศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) การฟื้นตัวของภาคการส่งออก 2) การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ ทางการเวียดนามมีแนวโน้มออกมาตรการช่วยเหลือบริษัทต่างๆ หลังการบังคับใช้ Global Minimum Tax (GMT) หรืออัตราภาษีขั้นต่ำสำหรับรายได้นิติบุคคล ทำให้บริษัทต่างชาติเริ่มคลายความกังวลและ 3) การบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมี มาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการคลัง เป็นแรงสนับสนุนสำคัญส่งเสริมเศรษฐกิจเวียดนามให้เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย

สำหรับ ภาคอสังหาฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เพียงแต่ยังมีความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้อยู่ โดยภายหลังภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการผ่อนผันการนัดชำระหนี้หุ้นกู้ภาคอสังหาฯ ออกไป 2 ปี ทำให้เรามองว่า กิจกรรมบนภาคอสังหาฯ มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ สภานิติบัญญัติเวียดนาม ผ่านร่างกฎหมาย Land law เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2567 เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ช่วงเดือน มิ.ย. 2567 ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ จะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 ม.ค. 2568 โดยจะทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ สามารถตกลงราคาซื้อขายที่ดินกับเจ้าของที่ดินได้โดยตรง ไม่ต้องให้ทางการเป็นผู้กำหนดค่าตอบแทน ช่วยหนุนให้บรรยากาศภาคอสังหาฯ เวียดนาม มีพัฒนาการที่ดีในระยะต่อไป  

ในส่วนของกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจที่กลับสู่ขาขึ้น โดยธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ตั้งเป้าหมายสินเชื่อปีนี้เติบโต 15% แสดงถึงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะอยู่ในระดับสูง แต่การก่อตัวของ stage 2 loan (สินเชื่อที่แสดงสัญญาณเบื้องต้นของความอ่อนแอในการชำระหนี้ แต่ยังไม่ถือว่าเป็น NPL) มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ส่งผลให้การตั้งสำรองระยะต่อไปมีแนวโน้มลดลง และช่วยหนุนผลประกอบการธนาคารระยะต่อไป 

ดร.กำพล กล่าวต่อไปว่า SCB CIO ได้ปรับมุมมองตลาดหุ้นเวียดนาม จาก Neutral สู่ Slightly Positive เนื่องจากแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ตามการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัว FDI ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคอสังหาฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งรัฐบาลผ่านร่างกฎหมาย Land law เอื้ออำนวยให้สภาพคล่องกลุ่มอสังหาฯ ปรับตัวดีขึ้น ส่วนธุรกิจธนาคารมีแนวโน้มได้รับอานิงสงส์จากเศรษฐกิจที่กลับสู่ขาขึ้น ขณะที่ Valuation ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยมี Price to earning multiple (P/E) หรือราคาต่อกำไรต่อหุ้น ซื้อขายอยู่ที่ 10.1x ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ประมาณ -1 s.d.  นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีโอกาสถูกยกระดับเป็นตลาดเกิดใหม่ และมีแนวโน้มถูกดึงเข้าไปคำนวณบนดัชนี FTSE โดยหากสามารถยกเลิกระบบ pre-funding ที่บังคับให้นักลงทุนต่างชาติมีเงินสด 100% ของมูลค่าการซื้อขายในพอร์ท 1 วันก่อนการทำธุรกรรมสำเร็จ จะเพิ่มโอกาสในการถูกดึงเข้าไปคำนวณบน ดัชนี FTSE Emerging Market ได้ภายในปี 2567 ด้วย 

ทั้งนี้   SCB CIO แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามผ่านกองทุนที่มีกลยุทธ์ Bottom-Up และรักษาสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตภายใต้เงื่อนไขตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็น frontier market (ตลาดหุ้นชายขอบ หรือตลาดหุ้นของประเทศที่เพิ่งจะพัฒนา) ที่มีความผันผวนได้สูง โดยการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามควรจัดอยู่ในการลงทุนบน Opportunistic Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตส่วนเพิ่มเติมและเป็นการลงทุนตามสถานการณ์ โดย Opportunistic Portfolio คิดเป็น 20% - 40% ของพอร์ตทั้งหมด  โดยเนื่องจากการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูง เราจึงแนะนำลงทุนในสัดส่วนตามระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ ในกรณีที่เกิดผลลบไม่เป็นไปตามคาดหวังก็จะไม่ส่งผลกระทบมาก ต่อ Core Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนแกนกลาง สำหรับการลงทุนระยะยาว 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad