ปอร์เช่ (Porsche) ให้ความสำคัญต่อระบบขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการขนส่งสินค้า - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ปอร์เช่ (Porsche) ให้ความสำคัญต่อระบบขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการขนส่งสินค้า


ปอร์เช่ (Porsche) ให้ความสำคัญต่อระบบขับเคลื่อนที่

เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการขนส่งสินค้า


ก้าวสำคัญสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ด้วยการใช้รถบรรทุกขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเข้ามาแทนที่ยานพาหนะระบบขับเคลื่อนแบบเดิมและใช้ก๊าซชีวภาพ

รถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ (HGV) รุ่นใหม่ ใช้ในการส่งมอบรถยนต์รุ่นใหม่ไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์

โครงการนำร่องเพื่อทดสอบน้ำมันดีเซลสังเคราะห์ (HVO100)


สตุ๊ตการ์ท. ปอร์เช่ (Porsche) เดินหน้าอย่างเต็มที่ในการใช้ระบบขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการขนส่งสินค้าร่วมกับพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ โดยการนำรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ (HGV) จำนวน คัน มาใช้ในโรงงานซุฟเฟนเฮาเซ่น (Zuffenhausen)ไวส์ซาค (Weissach) และไลพ์ซิก (Leipzig) ซึ่งรถยนต์เหล่านี้ทำหน้าที่ขนส่งวัสดุการผลิตไปทั่วโรงงาน โดยทำงานร่วมกับกองทัพรถบรรทุก HGV ที่ใช้ก๊าซชีวภาพจำนวน 22 คันที่มีอยู่เดิม นอกจากนี้ยังมีรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ (HGV) รุ่นใหม่ ทำหน้าที่ส่งมอบรถยนต์รุ่นใหม่ไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์จากโรงงานซุฟเฟนเฮาเซ่น (Zuffenhausen) นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ในระหว่างการทดสอบการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (HVO100) จากการทดลองในระยะเวลาหลายปี ภายใต้การกำกับดูแลทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันเทคโนโลยีคาร์ลสรูเฮอ (KIT) โดยจะนำรถบรรทุกขนาดใหญ่จำนวน 12 คันจากจำนวนที่มีอยู่ มาเปลี่ยนใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน


อัลเบรชท์ ไรโมลด์ (Albrecht Reimold) สมาชิกคณะกรรมการบริหารฝ่ายการผลิตและโลจิสติกส์ของปอร์เช่ เอจี (Porsche AG) กล่าว การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ความยั่งยืนของเรา การใช้รถบรรทุกที่มีระบบขับเคลื่อนและน้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกถือเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของเรา เราตั้งใจที่จะเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนที่ผสมผสานกันอย่างเหมาะสมตามกับวิธีการใช้งานของแต่ละยานพาหนะ”

ในกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก HGV และ รถบรรทุกที่ใช้ก๊าซชีวภาพ อย่าง CNG และ LNG ได้ถูกนำมาใช้ที่ปอร์เช่มานานแล้ว ปัจจุบัน รถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่รุ่นใหม่จะเข้ามาเสริมทัพ โดยพันธมิตรด้านโลจิสติกส์อย่าง เคลเลอร์ กรุ๊ป (Keller Group), Müller – Die lila Logistik และเอลเฟลิน (Elflein)  ต่างก็มุ่งมั่นที่จะใช้รถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่เหล่านี้ด้วยพลังงานไฟฟ้าสะอาด ซึ่งรวมถึงรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่รุ่นใหม่ที่บริษัทโลจิสติกส์ Galliker ใช้ในการส่งมอบรถยนต์รุ่นใหม่ไปยังตลาดสวิตเซอร์แลนด์จากโรงงาน ปอร์เช่ (Porsche) ในเมืองซุฟเฟนเฮาเซ่น (Zuffenhausen)


การใช้เชื้อเพลิงทดแทนกับรถบรรทุก HGV ที่มีอยู่

นอกเหนือจากการขยายกลุ่มยานยนต์ HGV แบบพลังงานไฟฟ้าแล้ว ปอร์เช่ (Porsche) ยังได้ริเริ่มโครงการนำร่องการใช้เชื้อเพลิงดีเซลสังเคราะห์ (Hydrotreated Vegetable Oil: HVO100) ในบรรดารถบรรทุกที่มีอยู่เดิมตั้งแต่ปี 2020 โดยร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีคาร์ลสรูเฮอ (Karlsruhe Institute of Technology: KIT) และMüller – Die lila Logistik บริษัทโลจิสติกส์ ใช้รถบรรทุก HGV จำนวน 12 คัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เชื้อเพลิง HVO100 ของ NESTE ที่ผลิตจากเศษวัสดุเหลือใช้และขยะ และเป็นไปตามข้อกำหนดปัจจุบันของ Renewable Energy Directive II (RED II) จากการใช้งานจริง เชื้อเพลิงนี้แสดงผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ ไม่มีการระบุข้อเสียใดๆ เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันดีเซลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงหรือประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ จนถึงปัจจุบัน โครงการนี้มีการขับรถบรรทุกไปแล้วกว่าหนึ่งล้านกิโลเมตร ซึ่งจากการวัดอย่างเป็นทางการโดยสถาบัน KIT พบว่าสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 800 ตัน โดยมีการทดสอบใช้รถบรรทุกไฟฟ้าวิ่งขนส่งบนเส้นทางเดียวกันกับรถบรรทุกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งรถบรรทุกทุกคันจะเป็นยานพาหนะที่ไม่มีการดัดแปลงใดๆ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลและประเมินว่ารถบรรทุกไฟฟ้าเหมาะสมกับการให้บริการขนส่งในเขตพื้นที่สตุ๊ตการ์หรือไม่


การขนส่งทางรถไฟและถนน – ระบบขนส่งของปอร์เช่ (Porsche)

ตัวอย่างที่มีมากมายในการใช้รถบรรทุก HGV แบบก๊าซชีวภาพและไฟฟ้า หรือโครงการนำร่องที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงทางเลือก เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ ปอร์เช่ (Porsche) ในการบริหารจัดการระบบขนส่งสินค้าอย่างจริงจัง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ตั้งไว้ ซึ่งรวมถึงการขนส่งทางรถไฟ ที่ใช้สำหรับการส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์ไปยังโรงงานหรือขนส่งรถยนต์ใหม่ไปยังท่าเรือ เพื่อเตรียมการส่งออกไปยังปลายทางนอกยุโรป นอกจากนี้ในส่วนของกระบวนการผลิตยานยนต์นั้น ก็ยังมีส่วนในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด้วยเช่นกัน โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 การผลิตรถยนต์ที่โรงงานของปอร์เช่ในเมืองซุฟเฟนเฮาเซิน และเมืองไลพ์ซิก มีผลคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นกลางตลอดทั้งห่วงโซ่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และยังใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแหล่งพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย


ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม รวมทั้งภาพยนตร์ และภาพถ่ายได้ที่ Porsche Newsroom: newsroom.porsche.com

 

 

สามารถติดตามข่าวสารของ Porsche Thailand แบบ real time ได้ที่

Facebook : https://bit.ly/FacebookPorscheThailand

Instagram : https://bit.ly/IGPorscheThailand  

YouTube   : https://bit.ly/YoutubePorscheThailand  

LINE OA   : https://bit.ly/LinePorscheThailand  

 

เกี่ยวกับปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป

ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป ผู้นำเข้ารถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ โดยได้รับการแต่งตั้ง จากโรงงานปอร์เช่ ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ปี 2536 ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขาย ให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) สะท้อนให้เห็นถึง ความสำคัญ ในเรื่องการให้บริการหลังการขาย  โดย เอเอเอส กรุ๊ปฯ ทุ่มงบการอบรมบุคลากรให้มีคุณภาพสูงสุด ตามนโยบาย หลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถ และคุณ AAS Looking after YOU and your CAR” เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า “AAS The Name you can Trust” ซึ่งพิสูจน์  ให้ท่านได้เห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินงานมากกว่า 30 ปี ปัจจุบัน ปอร์เช่ ประเทศไทย มีโชว์รูมและศูนย์บริการเปิดให้บริการ 4 แห่ง คือ Porsche Centre Bangkok , Porsche Centre Pattanakarn, Porsche Studio Siam Paragon ชั้น 2 ,Porsche Studio Bangkok ICONSIAM ชั้น 1 และขยายเพิ่มอีก 3 แห่งในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ ศูนย์ปอร์เช่ กัลปพฤกษ์ศูนย์ปอร์เช่ บางนา และศูนย์ปอร์เช่ พัทยา

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad