บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ส่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและกลยุทธ์การลงทุนไตรมาสสุดท้ายปี 2566 - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2566

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ส่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและกลยุทธ์การลงทุนไตรมาสสุดท้ายปี 2566

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ส่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและกลยุทธ์การลงทุนไตรมาสสุดท้ายปี 2566 ชี้ไทยฟ้าเปิด เศรษฐกิจที่เติบโตดีสวนเศรษฐกิจโลก คาดเป้าหมาย SET Index 2566 อยู่ที่ 1,650 จุด

• พร้อมแนะโอกาสลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เวียดนาม อินโดนีเซีย

 

          บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองภาพรวมเศรษฐกิจโลกไตรมาส 4 ปี 2566 คาดชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากการเผชิญ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized slowdown) 2.ดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น (Higher for longer) โดยคาดดอกเบี้ยนโยบายจะคงที่ระดับปัจจุบันที่ 5.4% จนถึงสิ้นปี และ 3.ความแตกต่างระหว่างสหรัฐที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยเฉพาะยุโรปและจีนที่จะชะลออย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 1% จากประมาณการณ์เดิม ทำให้คาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดไทยอีกครั้ง โดยประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2566 ไว้ที่ 1650 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ชี้เป้าหุ้นเด่นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ได้แก่ AOT BCH CRC KCE และ KTB พร้อมทั้งกระจายการลงทุนไปยังประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่จะได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน อีกทั้ง ยังมีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ที่มีโอกาสเติบโตได้มาก เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย

 

           นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจโลกไตรมาส 4 ปี 2566 คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากการเผชิญ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.เศรษฐกิจที่จะชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized slowdown) โดยที่ผ่านมาภาคการผลิตทั่วโลก (โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว) ที่วัดจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Manufacturing PMI) หดตัวมาโดยตลอด ผลจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ประกอบกับความต้องการสินค้าต่างๆ เริ่มหมดลงทำให้ภาคการผลิตมีปัญหา และในปัจจุบันภาคบริการเริ่มมีปัญหาแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากดอกเบี้ยสูง         2.ดอกเบี้ยสูงยาวนานขึ้น (Higher for longer) ในช่วงที่ผ่านมาเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วลดลงมาพอสมควรจากเงินเฟ้อภาคการผลิตเป็นหลัก อย่างไรก็ตามในระยะต่อไปเงินเฟ้อจะลดลงยากมากขึ้น เนื่องจากเป็นเงินเฟ้อในส่วนภาคบริการ นอกจากนั้นราคาน้ำมันที่เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ก็มีส่วนทำให้เงินเฟ้อในระยะต่อไปกดลงได้ยากเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ธนาคารกลางต่างๆ ก็จำเป็นต้องคงดอกเบี้ยยาวนานขึ้นซึ่งจะยิ่งกดดันเศรษฐกิจ และ 3.ความแตกต่างระหว่างสหรัฐที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นโดยเฉพาะยุโรปและจีนที่จะชะลออย่างมีนัยสำคัญ (US and The Rest) โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตค่อนข้างแข็งแกร่งจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ทำให้การจับจ่ายยังเติบโตดี แต่ในระยะต่อไปการเงินที่มีปัญหามากขึ้นจะกระทบต่อการใช้จ่ายของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจ ด้านเศรษฐกิจของยุโรปจะยิ่งเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อ ในขณะที่เศรษฐกิจจีนก็มีความเสี่ยงจะซึมยาวและเข้าสู่ "ทศวรรษที่หายไป" เช่นเดียวกับญี่ปุ่นเมื่อช่วงทศวรรษ 1990” 

           ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงมาก แต่อนาคตมีความหวังจากความชัดเจนทางการเมืองและนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐ โดยเราประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ดีกว่าปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลเพื่อไทยจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้อีก 1% โดยเราคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวได้ 4.1% (เทียบกับประมาณการเดิมที่ 3%) จากปี 2566 ที่ขยายตัว 2.7%

           พร้อมกันนี้ยังคาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดไทยอีกครั้งเมื่อพิจารณาจาก 1.แนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีน 2.การเสร็จสิ้นการปรับลดอันดับเครดิต ผลประกอบการ และ GDP 3.นโยบายการเงินที่เริ่มลดระดับความตึงตัวของ Fed และ 4.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว โดยความเสี่ยงสำคัญ 2 ประการที่ยากจะมองข้าม ได้แก่ ประการแรก ด้วยระดับน้ำที่ต่ำและฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลสำคัญ การเกิดเอลนีโญระดับรุนแรงจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของเกษตรกรแต่จะถูกผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาช่วยในไตรมาสที่ 1 ประการที่สอง ในกรณีที่รัฐบาลเลือกที่จะกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจส่งผลต่อความเข้มแข็งทางการคลัง 

           เราประเมินเป้าหมาย SET Index ปีนี้ อยู่ที่ 1,650 จุด เป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ 1,750 จุด ขณะที่ในไตรมาส 4 จุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,500-1,550 จุด โดยผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 5-7%

           กลยุทธ์การลงทุน แนะนำโฟกัสไปที่หุ้นที่กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือทำจุดต่ำสุดแล้ว และสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นหุ้นวัฏจักรที่มีความสัมพันธ์กับการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคภายในประเทศสูงซึ่งจะได้รับโมเมนตัมเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของกำไร โดยหุ้นเด่นในไตรมาส 4 ได้แก่ AOT BCH CRC KCE และ KTB” นายสุกิจ กล่าวเสริม

รายละเอียดหุ้นเด่นในไตรมาส 4 ปี 2566

  • AOT: Traffic เติบโตแข็งแกร่ง กำไรเติบโตแข็งแกร่ง
  • BCH: กำไรฟื้นตัว การปรับเพิ่มอัตราการเหมาจ่ายของประกันสังคม Valuation สมเหตุสมผล
  • CRC: กำไรฟื้นตัว ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • KCE: แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง อุปสงค์ฟื้นตัว การเติมสินค้าคงคลังของจีน กำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
  • KTB: กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

         ด้าน นายพสุวุฒิ วิไลนิรันดร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า “สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในไตรมาส 4 ยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ และยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีน เงินเฟ้อระลอกใหม่ รวมถึงดอกเบี้ยโดยรวมของโลกยังอยู่ในระดับสูง การลงทุนจึงยังเป็นลักษณะการลงทุนแบบระมัดระวัง มุ่งเน้นคัดเลือกหุ้นของกิจการที่ดีเป็นรายตัว โดยมีประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วกว่าประเทศไทย เช่น ประเทศเวียดนาม ที่มีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าประเทศไทยค่อนข้างมาก ส่งผลให้อัตราการเติบโตของจีดีพีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงถึง 6-7% ต่อปีสูงกว่าประเทศไทยถึง 2 เท่าตัว และประเทศอินโดนีเซีย ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 270 ล้านคน มากเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐฯ และถึงแม้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังคงเติบโตด้วยอัตรา 5% ต่อปี ซึ่งทั้งสองประเทศได้รับเม็ดเงินจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายฐานผลิตเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเม็ดเงินจากการลงทุนทางตรงในปีที่แล้วของประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียนั้นสูงคิดเป็น 2 และ 4 เท่าเมื่อเทียบกับของประเทศไทยตามลำดับ อีกทั้งประชากรของทั้งสองประเทศยังเป็นวัยทำงานมากถึง 50-60% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และกลุ่มคนวัยดังกล่าวกำลังย้ายจากภาคการเกษตรเข้ามาในภาคอุตสาหกรรม และอยู่อาศัยในตัวเมืองมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รายได้ต่อหัวปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของประชากรคนชั้นกลาง ได้แก่ กลุ่มสิ่งของอุปโภคและบริโภคต่างๆ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ เครื่องประดับ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าจาก ผ่านร้านค้าทั่วไป (Traditional Trade) เป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยของประชาชนทั่วไปซึ่งในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำและสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

         “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นักลงทุนส่วนใหญ่กลัวกับข่าวสารต่างๆในระดับมหภาคที่เป็นแง่ลบ จนเกิดการขายหุ้นออกมาในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นในระยะยาว เช่น ความกลัวโรคระบาดโควิดในปี 2020 ความกลัวอัตราเงินเฟ้อที่สูงและการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2021-2022 และความกลัวภาพเศรษฐกิจถดถอยในปี 2023 ซึ่งส่วนตัวมองว่ากลับเป็นโอกาสลงทุนที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวมากกว่าหากเราสามารถเลือกลงทุนในหุ้นของกิจการได้ถูกตัวและเข้าซื้อในจังหวะที่คนอื่นกำลังกลัวตลาดหุ้น” นายพสุวุฒิ กล่าวเสริม

#InnovestX #InnovestXResearch #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ

 

เกี่ยวกับ Alpha Fund by InnovestX

ลักษณะการลงทุนของกองทุนส่วนบุคคล Alpha Fund by InnovestX เป็นการมุ่งเน้นลงทุนในกิจการที่มีโมเดลธุรกิจที่ดี เติบโตได้ในระยะยาวและมีราคาหุ้นที่เหมาะสม ไม่ได้อิงการตัดสินใจในการลงทุนไปกับภาวะเศรษฐกิจมหภาคในระยะสั้น นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ซึ่งมี 3 นโยบายแบ่งตามประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ทั้งนี้การลงทุนในแต่ละประเทศจะแตกต่างกันในเชิงกลยุทธ์ของการเลือกหุ้นซึ่งเป็นไปตามความเหมาะสมของแต่ละตลาด

3 จุดเด่นของกองทุนส่วนบุคคล Alpha Fund by InnovestX

  1. มีทีมนักวิเคราะห์ In-house สำหรับแต่ละประเทศที่ไปลงทุน ที่ได้ทำการศึกษาพื้นฐานธุรกิจ วิเคราะห์ปัจจัยภายนอก รวมถึงผู้บริหารและเจ้าของกิจการ อย่างละเอียด รอบคอบ เพื่อประเมินมูลค่าของกิจการเป้าหมายอย่างเป็นระบบและลงทุนในกิจการโดยตรงด้วยตัวเอง ไม่ได้มีลักษณะเป็นการลงทุนผ่านกองทุน (No Feeder Fund) ที่คิดค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนและพึ่งพาการตัดสินใจจากบุคคลอื่น
  2. ใช้วิธีการลงทุนแบบกระจุกตัว (Concentrated Portfolio) โดยเลือกลงทุนในหุ้นเพียง 7-15 ตัว ที่ดีที่สุดที่ทีมนักวิเคราะห์คัดเลือกมาในแต่ละช่วงเวลาเท่านั้น ทำให้ไม่เกิดการกระจายความเสี่ยงที่มากเกินไป โดยอาศัยการลงทุนในกิจการหลายรูปแบบอุตสาหกรรมเป็นการกระจายความเสี่ยงแทนการถือหุ้นจำนวนมาก
  3. ไม่ลงทุนอิงสัดส่วนการถือหุ้นกับดัชนี (No Index Benchmarking) โดยทีมนักเคราะห์ไม่กลัวที่จะเข้าลงทุนในหุ้นที่ไม่เป็นที่รู้จักในตลาด เพราะเชื่อว่าหากทำการวิเคราะห์ได้ครบถ้วน กระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในหลากหลายอุตสาหกรรมและเข้าซื้อหุ้นที่ราคาเหมาะสม การลงทุนในหุ้นที่อยู่นอกกระแสที่ยังไม่ค่อยมีใครสนใจนัก จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้มากกว่า

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Facebook : InnovestX

 

เกี่ยวกับ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด” (InnovestX Securities Co., Ltd. ชื่อย่อ INVX) บริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 ปัจจุบันให้บริการการลงทุนทุกรูปแบบ อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านผู้แนะนำการลงทุน และ แพลตฟอร์ม “InnovestX Super App” พร้อมวางรากฐานเข้าสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลครบวงจรผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบนิเวศอุตสาหกรรม การเงิน และการลงทุนแห่งอนาคต เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการลงทุน และสินทรัพย์ดิจิทัลในอาเซียน www.InnovestX.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad