เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้ นพื้นฐาน ตอกย้ำ เด็กยุคใหม่ต้องเรียนรู้ได้ในทุ กบริบท ทั้งทักษะวิชาการ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต รู้เท่าทันความเปลี่ ยนแปลงของโลกยุคใหม่ เชื่อหากมีทักษะเหล่านี้พร้อม เด็กสามารถสร้างสรรค์อาชีพที่ เหมาะ ได้อย่างเต็มศักยภาพ และสร้างการยอมรับ ก่อเกิดความภาคภูมิใจในอาชีพ และมีชีวิตที่มั่นคงยั่งยืน
ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้ นพื้นฐาน กล่าวถึง แนวทางการจัดการศึกษาเพื่อพั ฒนาผู้เรียนเพื่อให้สอดคล้องกั บยุคThailand 4.0 ว่า แนวคิดการพัฒนาผู้เรียนเพื่อให้ เข้าถึงและพัฒนาศักยภาพของตนเอง สามารถบูรณาการองค์ความรู้มาสู่ การสร้างอาชีพได้อย่างมั่นคง ต่อยอดไปสู่การเรียนรู้ตลอดช่ วงวัย เรียนรู้ได้ในทุกบริบท เป็นสิ่งที่ในฐานะผู้จัดการศึ กษาให้ความสำคัญสูงสุด รวมถึงแนวคิดการพัฒนาผู้เรี ยนนอกห้องซึ่งไม่ใช่แนวคิดใหม่ หากแต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานแนวคิดการสนับสนุ นให้เด็กหญิง-ชาย ได้ฝึกฝนทักษะความถนัด เพิ่มพูนความรู้ ความสามารถเฉพาะด้านของตนเองให้ สามารถเป็นอาชีพสร้างรายได้เลี้ ยงตัวได้ ไม่ใช่เพียงมุ่งเรียน เพื่อเป็นเสมียนหรือเข้ารั บราชการเพียงด้านเดียว พระปรีชาญาณของพระองค์ท่านได้ ก่อเกิดงานศิลปหัตถกรรมนักเรี ยนมาจนถึงปัจจุบัน
“พระราชปณิธานที่จะส่งเสริมให้ มีงานศิลปหัตถกรรมนั้น เพราะทรงเน้นเรื่องทักษะอาชีพ คือการเรียนอะไรก็แล้วแต่ จะเก่งด้านไหนก็แล้วแต่จะต้ องสามารถนำความรู้ความถนั ดความเก่งเหล่านั้นมาสร้างอาชี พเลี้ยงตัวเองให้ได้ แต่ทุกวันนี้เรามุ่งเน้นเพิ่ มเรื่องวิชาการเข้าไปอีกเนื่ องจากวิชาการแต่ละยุคสมัยที่พั ฒนาขึ้นเราก็ต้องปรับเปลี่ยนก้ าวให้ทันโลก เช่น ภาษาต่างประเทศ เทคโนโลยี อาชีพ การมีงานทำ ประเด็นสำคัญคือต้องการให้เราก้ าวทันยุคสมัย ทำให้สิ่งที่เราทำนั้นเกิ ดประโยชน์สูงสุดกับเด็กอย่างแท้ จริง โดยเด็กต้องได้รับการพัฒนาและต่ อยอดไปสู่การมีอาชีพและมี งานทำในอนาคต”
โดย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้ นพื้นฐาน ได้ชี้ให้เห็นถึงการสร้างเวที เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงศั กยภาพ ได้แสดงออกซึ่งความคิดสร้ างสรรค์ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกั นและกัน ในขณะเดียวกันเหล่าผู้บริ หารการศึกษา ก็จะได้ประเมินผลการจัดการศึ กษาเพื่อนำมาสู่การปรับเพิ่ มเสริมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ ผู้เรียนโดยตรง นอกจากนั้นเหล่าผู้ปกครอง รวมทั้งประชาชนทั่วไปก็จะได้เห็ นภาพรวมและมิติทางการศึกษารวมทั้ งศักยภาพของเด็กนักเรียนในยุคปั จจุบันด้วย
“สิ่งที่เราต้องการเห็นมากที่สุ ดก็คือ การเรียนต้องไม่เรียนเฉพาะในห้ องเรียน เราต้องการเห็นเด็กเรียนรู้ นอกห้องเรียน เรียนรู้ในบริบทที่แตกต่างกัน เรียนรู้สิ่งที่อยู่ในชีวิ ตประจำวัน เรียนรู้สังคมที่จะเกิดขึ้นกั บเด็กเอง เช่น การประดิษฐ์สิ่งของในแต่ละท้ องที่แต่ละภูมิภาคด้วยความแตกต่ างกัน หรือเรื่องอาชีพ ปัจจัยเหล่านี้มีโอกาสที่จะส่ งผลถึงเด็ก อย่างไรก็ตามการที่เราจะพั ฒนาให้เด็กมีศักยภาพเพียงพอ ต้องการสนับสนุนให้เขาเรียนรู้ ค้นหาทักษะความถนัดในตัวเอง รู้จักการทบทวนประสบการณ์เดิมที่ มีอยู่ ฝึกการสังเกตและรู้เท่าทั นความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ปัจจัยเหล่านี้ต้องถู กนำมาผสมผสานกัน และสามารถสืบทอดถ่ายทอดต่อกั นได้ เราอยากเห็นและคาดหวังว่าเด็กทุ กคนจะมีพัฒนาการที่ดี และสามารถพัฒนาได้อย่างมีประสิ ทธิภาพสูงสุด”
ดร.อำนาจ ยังได้สะท้อนแง่มุมการจัดการศึ กษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนได้อย่ างเต็มประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล หรือ Thailand 4.0นั้น ไม่เพียงแต่หน่วยงาน สพฐ. เท่านั้นที่จะผลักดันให้ไปถึ งเป้าหมายที่วางไว้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ ปกครองจะต้องเล็งเห็นในเป้ าหมายเดียวกัน ร่วมมือกันเพื่อให้การจัดการศึ กษาได้ก่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ เรียน
“ผมอยากให้เราทำความเข้าใจให้ ตรงกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ การเรียนรู้ไม่ใช่แค่การเรี ยนหนังสืออย่างเดียวแต่สิ่งที่ สำคัญที่สุดคือ ผู้เรียนต้องเรียนรู้ได้ในทุ กบริบท ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น ทักษะวิชาการ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ถ้าเด็กมีความพร้อมทั้ง 3 ทักษะ เด็กสามารถสร้างสรรค์อาชีพที่ เหมาะกับความรู้ ความสามารถของตนเองได้ ประกอบอาชีพที่ใจรักได้อย่างเต็ มศักยภาพ สร้างความภาคภูมิใจ สร้างการยอมรับ สร้างความมั่นคงในชีวิตได้ ประเทศเราวันนี้ผมถือว่าเป็ นประเทศที่มีการเรียนมากเกินไป ในห้องเรียนเราเรียนถึง 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในค่าเฉลี่ย เรียนในห้องเรียน ทั้งการบ้าน ทั้งเรียนพิเศษ กับติวเตอร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กๆ เหนื่อยกับการเรียน เราต้องมาช่วยกันคิดและส่งเสริ มเขาให้เด็กๆ ของเราได้ เกิดพัฒนาการเรียนรู้ที่ เหมาะสมกับช่วงวัย ให้โอกาสเขาได้Play to learn เรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับชี วิตจริง เรียนรู้กับสังคมอื่น องค์ความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่มากมายจากโลกใบนี้ ไม่ว่าจะสืบค้นจากระบบของอิ นเตอร์เน็ต เทคโนโลยีต่างๆ ในยุคดิจิทัล ที่เขาสามารถเรียนรู้ได้ ตลอดเวลา โดยมีเราเป็นฝ่ายชี้แนะแนวทางที่ เหมาะสม ไม่ใช่การบังคับควบคุม สิ่งเหล่านี้จะส่งเสริ มกระบวนการคิดและตัดสินใจของเขา ให้เขาได้ทบทวน กลั่นกรองออกมาเป็นความคิ ดของตนเอง อย่างนี้เรียกว่าเขาได้เกิ ดความรู้ ได้เกิดพัฒนาการแล้ว”
ทั้งนี้ ดร.อำนาจ ยังกล่าวถึงการจัดงานศิลปหั ตถกรรมนักเรียนระดับชาติ ครั้งที่ 69 ปีการศึกษา2562 ที่กระศึกษาธิการจัดขึ้น ใน 4 ภูมิภาค คือ ภาคกลางและภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือที่จังหวัดสุโขทัย และภาคใต้ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า กิจกรรมนี้ ถือเป็นหนึ่งเวที ที่เปิดพื้นที่ให้กับเด็กนักเรี ยนในแต่ละภูมิภาค ได้เข้าร่วมแสดงความสามารถ โชว์ทักษะ พร้อมมอบประสบการณ์ทำงานในอีกรู ปแบบหนึ่งให้กับบุคลากรทางการศึ กษา ได้เพิ่มพูนความรู้ในการบู รณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้เรียนรู้ข้อจำกัดของตนเอง ได้ร่วมกันแสวงหาแนวทางแก้ไข และได้เห็นพลังจิตอาสาของทุ กภาคส่วนในพื้นที่การจัดงาน ได้หลอมรวมใจกันบริหารจั ดงานออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งเห็นว่าหากทุ กคนสามารถถอดบทเรียนออกมาได้ แล้วนำไปต่อยอดองค์ความรู้ ของตนเอง เปิดใจยอมรับประสบการณ์แง่มุ มใหม่ๆ เชื่อว่าการจัดงานศิลปหั ตถกรรมนักเรียนนี้จะเป็นห้องเรี ยนใหญ่ที่ไม่ใช่มีเฉพาะแต่นั กเรียนเท่านั้น หากแต่ทุกภาคส่วนก็สามารถที่เรี ยนรู้ร่วมกันได้ในห้องเรียนเดี ยวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น