ทาทา สตีล (ประเทศไทย) เปิดเผยผลประกอบการของเดือน มกราคม - มีนาคม 2567 และปีการเงิน 2566 - 67 - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ทาทา สตีล (ประเทศไทย) เปิดเผยผลประกอบการของเดือน มกราคม - มีนาคม 2567 และปีการเงิน 2566 - 67

Screenshot_20240502-134612


ทาทา สตีล (ประเทศไทย) เปิดเผยผลประกอบการ

ของเดือน

มกราคม - มีนาคม 2567 และปีการเงิน 2566 - 67

กรุงเทพฯ – 30 เมษายน 2567 - บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัท สำหรับไตรมาสที่ 4 ของปีการเงิน 2567 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2567 บริษัทได้รายงานผลกำไรก่อนภาษีเงินได้ 200 ล้านบาทในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม 2567 เทียบกับผลขาดทุนก่อนภาษีเงินได้ 96 ล้านบาทในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2566 และกำไรก่อนภาษีเงินได้ 108 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม 2566 กำไรสำหรับไตรมาสปัจจุบันประกอบด้วยกำไร 220 ล้านบาทจากการขายสินทรัพย์โครงการเตาถลุง Mini Blast Furnace (MBF) ซึ่งถูกระงับการใช้งานตั้งแต่ปี 2554 และให้ถือไว้เพื่อขาย สำหรับช่วงระยะเวลา 12 เดือน เมษายน 2566 - มีนาคม 2567 บริษัทได้รายงานผลกำไรก่อนภาษีเงินได้ 93 ล้านบาท เทียบกับกำไร 681 ล้านบาทในช่วงเดือนเมษายน 2565 - มีนาคม 2566

มร. ตารุน ดากา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยว่า “ปริมาณการขายในไตรมาสนี้อยู่ที่ 320,000 ตัน สูงกว่าไตรมาสก่อนจากยอดขายเหล็กเส้นในประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามในช่วง 12 เดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 ปริมาณการขายของบริษัทอยู่ที่ 1,120,000 ตัน ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 8 สาเหตุหลัก มาจากการนำเข้าเหล็กลวดที่มีราคาต่ำมากมายังประเทศไทย ประกอบกับสถานการณ์ตลาดต่างประเทศที่ซบเซาลงมากและราคาเศษเหล็กที่ค่อนข้างสูงซึ่งไม่สามารถชดเชยจากสถานการณ์ราคาสินค้าสำเร็จรูปได้”


“สำหรับรายได้จากการขายในไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 6,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน สะท้อนถึงปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ลดลง 7% จากราคาขายที่ลดลงสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาดที่อ่อนแอ ในช่วง 12 เดือน รายได้จากการขายอยู่ที่ 24,689 ล้านบาท ลดลงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุหลักมาจากราคาขายที่ลดลงและปริมาณการขายที่ลดลงจากเหล็กลวดในประเทศและการส่งออกที่ลดลง”
Screenshot_20240502-133833

ในปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.9% ลดลงจาก 2.5% ในปี 2565 เนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณสำหรับปี 2566 และ ปี 2567 ทำให้การใช้จ่ายภาครัฐลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการใหม่ การส่งออกในหลายอุตสาหกรรมยังคงซบเซา ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ทั่วโลกที่ลดลง ค่าเงินบาทไทยและสกุลเงินเอเชียอื่นๆ อ่อนค่าลง 5.0-8.5% สู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ท่ามกลางแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ย Fed ของสหรัฐฯ ที่สูงกว่าอัตราของธนาคารกลางในเอเชีย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad