น้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงอยู่ ของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืช สัตว์ รวมถึงมนุษย์ ที่ใช้ในการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ฯลฯ และยังช่วยรักษาความสมบูรณ์ ของระบบนิเวศน์ต่างๆด้วย หากแต่ปริมาณน้ำบนโลกนี้เป็นน้ำ ทะเลหรือน้ำเค็มถึงร้อยละ 97 ส่วนที่เหลืออีกเพียงร้อยละ 3 เป็นน้ำจืด ถ้าหากแบ่งในปริมาณน้ำจืดนี้เป็ น 100 % พบว่าเป็นธารน้ำแข็งและภูเขาน้ำ แข็งมากถึง 70% ส่วนอีก 29% เป็นน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล และมีเพียง 1% เป็นน้ำผิวดิน
การเก็บกักน้ำไว้บนผิวดินเพิ่ มเติมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ กลายเป็นทั้งเรื่องที่จำเป็ นและเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมที่มี ความจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้น้ำ เป็นจำนวนมาก วันนี้พามารู้จักกับหนึ่งในตั วอย่างการบริหารจัดการน้ำอย่ างยั่งยืนในภาคเกษตร ที่ โครงการหมู่บ้ านเกษตรกรรมหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โครงการที่ริเริ่มดำเนิ นการโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ มาตั้งแต่ปี 2520 ด้วยการพลิกฟื้นผืนดินแห้งแล้ งให้เกษตรกรทั้ง 50 ราย ได้มีอาชีพเลี้ยงหมูเป็นอาชี พหลัก และมีการเพาะปลูกพืชสวนพืชไร่ เป็นอาชีพเสริม จนถึงปัจจุบันที่นี่กลายเป็นผื นดินอันอุดมสมบูรณ์ มีสวนผลไม้ สวนยาง แปลงผักปลอดสาร ฟาร์มเห็ด สุดแต่ความถนัดของเกษตรกรช่ วยสร้างรายได้เสริมให้ตลอดปี
สำหรับการเลี้ยงหมู และการเพาะปลูกพืช ของเกษตรกรในหมู่บ้ านเกษตรกรรมหนองหว้า ซึ่งมีการใช้น้ำเป็นจำนวนมาก และที่ผ่านมาที่นี่ยังประสบปั ญหาขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง เกษตรกรจึงร่วมกับทีมงานของธุ รกิจสุกร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่ช่วยสนับสนุนทั้งการผลิตหมู และทุกๆกิจกรรมของเกษตรกร ด้วยการร่วมกันคิดหาวิธีการกั กเก็บน้ำไว้ใช้ให้ได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหนึ่งในวิธีการที่เห็นผลลั พธ์อย่างเป็นรูปธรรมคือ “ธนาคารน้ำใต้ดิน ( Groundwater Bank)”
ภักดี ไทยสยาม ประธานกรรมการ บริษัท หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จำกัด เล่าว่า ธนาคารน้ำใต้ดิน ถือเป็นนวัตกรรมด้านสังคมที่ เกษตรกรร่วมกับซีพีเอฟดำเนินการ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ งและการขาดแคลนน้ำใช้ จากแต่ก่อนที่เกษตรกรจำเป็นต้ องซื้อน้ำมาใช้มากถึง 50 ,000 คิว ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึงปีละ 1,000,000 บาท ส่งผลกระทบต่อรายของได้เกษตรกร ทุกคนจึงร่วมกันคิดหาวิธีที่ จะกักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับทั้ งการเลี้ยงหมูและปลูกพืชได้ทั้ งปี โดยนำแนวคิดการทำ “ธนาคารน้ำใต้ดิน ” ของหลวงพ่อสมาน สิริปัญโญ ประธานสถาบันน้ำนิเทศศาสนคุณ มาใช้ ด้วยหลักการเติมน้ำไปเก็บในชั้ นใต้ดิน ด้วยการขุดบ่อในบริเวณพื้นที่น้ำ ท่วม น้ำขัง น้ำหลาก หรือจุดรวมของน้ำเพื่อกักน้ำให้ ซึมลงไปชั้นหิน เป็นการพักน้ำรวมไว้เหมื อนธนาคาร
“เมื่อก่อนพอฝนตกจะเกิดน้ำท่ วมขังและไหลทิ้งออกนอกพื้นที่ ไม่สามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ธนาคารน้ำใต้ดิน คือสถานที่เก็บน้ำฝนที่ ตกลงมาไปกักเก็บไว้ใต้ดินในชั้ นหินอุ้มน้ำให้ได้มากที่สุด จากบ่อที่ทุกคนร่วมใจกันประดิ ษฐ์ขึ้นมา ในรูปแบบนวัตกรรมทางธรรมชาติ จัดการน้ำที่ไหลอยู่บนผิวดินให้ ลงไปเก็บไว้ใต้ดิน มีการเชื่อมโยงเป็นระบบเครือข่ ายธนาคารน้ำ ร่วมกับแหล่งน้ำที่มีอยู่แล้ วในธรรมชาติ เป็นการนำความรู้พื้นฐานการบริ หารจัดการน้ำทั้งระบบ ทั้งด้าน วิทยาศาสตร์ ธรณีวิทยา สังคม ชุมชน และธรรมชาติ ทิศทางการไหลของน้ำ การหมุนของโลกมาผนวกกัน เมื่อมีธนาคารน้ำใต้ดิน พอถึงฤดูแล้งระดับน้ำใต้ดิ นจะเพิ่มสูงขึ้น เกษตรกรสามารถนำน้ำจากใต้ดินขึ้ นมาใช้ได้เพียงพอตลอดฤดูกาล” ภักดี กล่าว
ธนาคารน้ำใต้ดิน หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า เริ่มดำเนินการในปี 2563 หลังจากทีมงานได้ศึกษาดูงาน จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลอีสาน และเชิญวิทยากรของสถาบันน้ำนิ เทศศาสนคุณ มาให้ความรู้กับเกษตรกร พร้อมวางแผนสำรวจตำแหน่งที่ จะทำธนาคารน้ำใต้ดินในหมู่บ้าน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญของซีพี เอฟทำการสำรวจข้อมูลปริมาณน้ำ ใต้ดินเบื้องต้น จนเริ่มสร้างธนาคารน้ำใต้ดินรู ปแบบบ่อปิดบริเวณรอบสำนั กงานและพื้นที่ส่วนกลาง และทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิดที่ บ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ของหมู่บ้าน โดยน้ำที่นำมาเก็บมาจากหลายแหล่ ง ทั้งน้ำฝนที่ตกลงมา และน้ำจากการทำธนาคารน้ำใต้ดิน ระบบปิด ต่อมาในปี 2564 ต่อยอดสู่ธนาคารน้ำใต้ดินรู ปแบบรางระบายน้ำบริ เวณถนนภายในหมู่บ้านฯ และในปี 2565 ผลักดันสู่แหล่งเรียนรู้ให้แก่ ผู้ที่มีความสนใจได้มาศึกษาดู งาน
ปัจจุบันที่นี่มีธนาคารน้ำใต้ดิ นระบบปิดบริเวณพื้นที่ส่ วนกลางรวม 31 บ่อ แบ่งออกเป็นรูปแบบบ่อปิด 30 บ่อ และแบบรางระบายน้ำ 1 บ่อ ส่วนธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิดบริ เวณรอบหมู่บ้านมีทั้งหมด 64 บ่อ แบ่งออกเป็นรูปแบบบ่อปิด 9 บ่อ และรูปแบบรางระบายน้ำจำนวน 55 บ่อ ช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังและเพิ่ มความชุ่มชื้นให้กับต้นไม้ ภายในฟาร์ม ส่วนธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด บ่อเดิม ความจุ 37 ,000 ลบ.ม. โดยทำการขุดบ่อเพิ่มเติมเพื่ อเก็บกักน้ำให้ลึกถึงชั้นหินอุ้ มน้ำ เชื่อมต่อจากบ่อเดิม อีก 1 บ่อ มีความจุ 17,000 ลบ.ม. ทำให้สามารถเก็บน้ำไว้ใช้ได้ มากกว่า 18 เดือน จึงช่วยแก้ไขทั้งปัญหาภัยแล้ง การขาดน้ำ แก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังทั้ งภายในและภายนอกฟาร์ม เพิ่มปริมาณระดับน้ำบาดาลในพื้ นที่เก็บไว้ใช้อนาคต และเพิ่มความอุมดมสมบูรณ์ของพื้ นดินสำหรับปลูกพืช ความสำเร็จนี้ได้ถูกต่อยอดไปยั งฟาร์มหมูของธุรกิจสุกรซีพี เอฟภาคตะวันออกอีก 6 แห่ง รวมถึงขยายผลไปยังธุรกิจสุกรใน ซี.พี.ลาว ด้วย
“ธนาคารน้ำใต้ดินเปรียบเสมื อนการฝากน้ำไว้กับดิน เป็นการเก็บน้ำส่วนเกินเพื่อเติ มน้ำที่ขาด ช่วยแก้ปัญหาทั้งน้ำท่วมและภั ยแล้งทุกปี และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำ ได้ถึงปีละ 1 ล้านบาท เกษตรกรและทีมงานซีพีเอฟทุกคนภู มิใจที่ ได้มีโอกาสเปิดรับผู้สนใจเข้ ามาศึกษาดูงานธนาคารน้ำใต้ดิ นของเราและนำไปประยุกต์ใช้อย่ างต่อเนื่อง ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งเรี ยนรู้นวัตกรรมการบริหารจัดการน้ำ อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังได้รับเชิญเป็นวิ ทยากรให้ความรู้ และให้คำปรึกษาเรื่ องการทำธนาคารน้ำแก่หน่วยงานต่ างๆ และยังได้ไปร่วมงานสัมมนาบริ หารจัดการน้ำนานาชาติด้วย” ภักดี กล่าว
หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าพิสู จน์ ทำให้เห็นแล้วว่าน้ำ บาดาลและแหล่งน้ำใต้ดินมี ความสำคัญ และเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่ สามารถนำมาใช้ได้อย่ างเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้ องการ หากมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมี ประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าศึกษาดูงาน สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 038-557-081 ./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น