เงินเฟ้อปี 61 เพิ่มขึ้น 1.07% สูงสุดรอบ 4 ปี ส่วนปี 62 ตั้งเป้า 1.2% จับตาพลังงานปัจจัยกดดันหลัก
![img](https://www.commercenewsagency.com/media/resize/uploads/2019/01/5c2c536c25b0a-690x450.jpg)
“พาณิชย์”เผยเงินเฟ้อธ.ค. เพิ่ม 0.36% เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 ติดต่อกัน แต่สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง เหตุน้ำมันลดลงแรง รวมถึงผัก ผลไม้ราคาลง ส่วนปี 61 ทั้งปี เงินเฟ้อเพิ่ม 1.07% เป็นไปตามกรอบ แต่สูงสุดในรอบ 4 ปี ตั้งเป้าปี 62 โต 1.2% ภายใต้กรอบ 0.7-1.7% ระบุราคาพลังงาน จะเป็นตัวกดดันหลัก ส่วนการลงทุน ราคาสินค้าเกษตร การส่งออกที่ดีขึ้นจะมีผลต่อกำลังซื้อ
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) เดือนธ.ค.2561 เท่ากับ 101.73 ลดลง 0.65% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.2561 ที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้น 0.36% เมื่อเทียบกับเดือนธ.ค.2560 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 ติดต่อกัน แต่สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเป็นเดือนที่ 4 ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2561 เพิ่มขึ้น 1.07% อยู่ในกรอบที่ประเมินไว้ที่ 0.8-1.6% โดยเป็นเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี นับจากปี 2557 ที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 1.89% ปี 2558 ติดลบ 0.9% ปี 2559 เพิ่ม 0.19% และปี 2560 เพิ่ม 0.66%
“ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อในเดือนธ.ค.2561 สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง มาจากการลดลงของราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และยังมีผลจากสินค้าเกษตรบางชนิดที่ราคาลดลง เช่น ผัก และผลไม้ แต่ราคาสินค้าและบริการในหมวดอื่นๆ ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเงินเฟ้อพื้นฐานที่หักหมวดอาหารและพลังงานออก เพิ่มขึ้น 0.68%”
สำหรับรายละเอียดเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.2561 หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 0.90% สินค้าสำคัญที่สูงขึ้น เช่น ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เพิ่ม 4.58% เนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ เพิ่ม 1.41% ไข่และผลิตภัณฑ์นม เพิ่ม 1.35% เครื่องประกอบอาหาร เพิ่ม 2.06% เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 1.39% อาหารบริโภคในบ้าน เพิ่ม 0.93% นอกบ้าน เพิ่ม 1.98% ส่วนผักสด ลด 4.96% ผลไม้ ลด 2.86% ส่วนหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่ม 0.06% เช่น เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า เพิ่ม 0.26% เคหสถาน เพิ่ม 0.58% การรักษาและบริการส่วนบุคคล เพิ่ม 0.55% การบันเทิง การอ่านและการศึกษา เพิ่ม 0.29% ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 0.19% ค่าโดยสารสาธารณะ เพิ่ม 0.36% แต่น้ำมันเชื้อเพลิง ลด 2.12% และการสื่อสาร ลด 0.06%
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า เงินเฟ้อทั้งปี 2561 ที่สูงขึ้น 1.07% มีปัจจัยหลักมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้จะเริ่มปรับลดลงในช่วงปลายปี แต่ก็ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการต่อเนื่องกับราคาน้ำมัน ส่วนราคาสินค้าเกษตร ที่ผลผลิตผันผวนตามฤดูกาล ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อเงินเฟ้อ ขณะที่ความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับอัตราค่าจ้างและรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม การกระตุ้นการใช้จ่ายและมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ บวกกับการลงทุนและการส่งออกที่ดีขึ้น ได้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ
ส่วนการเพิ่มขึ้นของอาหารที่บริโภคในบ้านและนอกบ้าน เป็นผลมาจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับพลังงาน เช่น ก๊าซหุงต้ม ค่าขนส่ง รวมทั้งค่าเช่าสถานที่ที่ไม่ได้ปรับขึ้นมาระยะหนึ่ง และยังมีผลจากค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ประกอบกับผู้บริโภคมีกำลังซื้อ ทำให้ราคาสินค้าหมวดนี้ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูงในปี 2561
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า แนวโน้มเงินเฟ้อปี 2562 สนค. คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.2% ภายใต้กรอบ 0.7-1.7% ภายใต้สมมติฐานจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 3.5-4.5% น้ำมันดิบดูไบ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 32.5-33.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยเงินเฟ้อไตรมาสแรก น่าจะอยู่ที่ 0.86% ไตรมาส 2 อยู่ที่ 0.98% ไตรมาส 3 อยู่ที่ 1.27% และไตรมาส 4 อยู่ที่ 1.81%
ทั้งนี้ เงินเฟ้อปี 2562 มีปัจจัยที่ต้องจับตา คือ ราคาพลังงานที่ยังคงผันผวน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีการปรับขึ้นค่าโดยสารในประเทศ การลงทุนมีทิศทางดีขึ้น ส่งผลต่อรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น ทั้งข้าวและมันสำปะหลัง ส่วนปาล์มน้ำมันและมะพร้าว มีสัญญาณดีจากมาตรการแก้ไขปัญหา ทำให้รายได้เกษตรกรสูงขึ้น สินค้าอุตสาหกรรม มีแนวโน้มปรับขึ้นไม่มาก การส่งออกยังคงดีขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อกำลังซื้อ และค่าเงินบาท ที่มีผลต่อต้นทุนสินค้านำเข้า และการส่งออก
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) เดือนธ.ค.2561 เท่ากับ 101.73 ลดลง 0.65% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.2561 ที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้น 0.36% เมื่อเทียบกับเดือนธ.ค.2560 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 ติดต่อกัน แต่สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงเป็นเดือนที่ 4 ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2561 เพิ่มขึ้น 1.07% อยู่ในกรอบที่ประเมินไว้ที่ 0.8-1.6% โดยเป็นเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี นับจากปี 2557 ที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 1.89% ปี 2558 ติดลบ 0.9% ปี 2559 เพิ่ม 0.19% และปี 2560 เพิ่ม 0.66%
“ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อในเดือนธ.ค.2561 สูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง มาจากการลดลงของราคาพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และยังมีผลจากสินค้าเกษตรบางชนิดที่ราคาลดลง เช่น ผัก และผลไม้ แต่ราคาสินค้าและบริการในหมวดอื่นๆ ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเงินเฟ้อพื้นฐานที่หักหมวดอาหารและพลังงานออก เพิ่มขึ้น 0.68%”
สำหรับรายละเอียดเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.2561 หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 0.90% สินค้าสำคัญที่สูงขึ้น เช่น ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง เพิ่ม 4.58% เนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ เพิ่ม 1.41% ไข่และผลิตภัณฑ์นม เพิ่ม 1.35% เครื่องประกอบอาหาร เพิ่ม 2.06% เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 1.39% อาหารบริโภคในบ้าน เพิ่ม 0.93% นอกบ้าน เพิ่ม 1.98% ส่วนผักสด ลด 4.96% ผลไม้ ลด 2.86% ส่วนหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่ม 0.06% เช่น เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า เพิ่ม 0.26% เคหสถาน เพิ่ม 0.58% การรักษาและบริการส่วนบุคคล เพิ่ม 0.55% การบันเทิง การอ่านและการศึกษา เพิ่ม 0.29% ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 0.19% ค่าโดยสารสาธารณะ เพิ่ม 0.36% แต่น้ำมันเชื้อเพลิง ลด 2.12% และการสื่อสาร ลด 0.06%
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า เงินเฟ้อทั้งปี 2561 ที่สูงขึ้น 1.07% มีปัจจัยหลักมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้จะเริ่มปรับลดลงในช่วงปลายปี แต่ก็ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการต่อเนื่องกับราคาน้ำมัน ส่วนราคาสินค้าเกษตร ที่ผลผลิตผันผวนตามฤดูกาล ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อเงินเฟ้อ ขณะที่ความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับอัตราค่าจ้างและรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม การกระตุ้นการใช้จ่ายและมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ บวกกับการลงทุนและการส่งออกที่ดีขึ้น ได้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ
ส่วนการเพิ่มขึ้นของอาหารที่บริโภคในบ้านและนอกบ้าน เป็นผลมาจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับพลังงาน เช่น ก๊าซหุงต้ม ค่าขนส่ง รวมทั้งค่าเช่าสถานที่ที่ไม่ได้ปรับขึ้นมาระยะหนึ่ง และยังมีผลจากค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ประกอบกับผู้บริโภคมีกำลังซื้อ ทำให้ราคาสินค้าหมวดนี้ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูงในปี 2561
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า แนวโน้มเงินเฟ้อปี 2562 สนค. คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.2% ภายใต้กรอบ 0.7-1.7% ภายใต้สมมติฐานจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 3.5-4.5% น้ำมันดิบดูไบ 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 32.5-33.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยเงินเฟ้อไตรมาสแรก น่าจะอยู่ที่ 0.86% ไตรมาส 2 อยู่ที่ 0.98% ไตรมาส 3 อยู่ที่ 1.27% และไตรมาส 4 อยู่ที่ 1.81%
ทั้งนี้ เงินเฟ้อปี 2562 มีปัจจัยที่ต้องจับตา คือ ราคาพลังงานที่ยังคงผันผวน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีการปรับขึ้นค่าโดยสารในประเทศ การลงทุนมีทิศทางดีขึ้น ส่งผลต่อรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น ทั้งข้าวและมันสำปะหลัง ส่วนปาล์มน้ำมันและมะพร้าว มีสัญญาณดีจากมาตรการแก้ไขปัญหา ทำให้รายได้เกษตรกรสูงขึ้น สินค้าอุตสาหกรรม มีแนวโน้มปรับขึ้นไม่มาก การส่งออกยังคงดีขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อกำลังซื้อ และค่าเงินบาท ที่มีผลต่อต้นทุนสินค้านำเข้า และการส่งออก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น