แคนนอนท้าเปิดเกมช่างภาพ ‘สายไฮบริด’ เปิดตัว “Canon EOS R6 Mark II” กล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมรุ่นใหม่ สุดทั้งงานภาพนิ่ง ถ่ายต่อเนื่องสูงสุด 40 FPS และงานวิดีโอ บันทึกคมชัดระดับ 6K RAW External - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

แคนนอนท้าเปิดเกมช่างภาพ ‘สายไฮบริด’ เปิดตัว “Canon EOS R6 Mark II” กล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมรุ่นใหม่ สุดทั้งงานภาพนิ่ง ถ่ายต่อเนื่องสูงสุด 40 FPS และงานวิดีโอ บันทึกคมชัดระดับ 6K RAW External


image%20(1)

แคนนอนท้าเปิดเกมช่างภาพ ‘สายไฮบริด’ เปิดตัว “Canon EOS R6 Mark II” กล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมรุ่นใหม่ 
สุดทั้งงานภาพนิ่ง ถ่ายต่อเนื่องสูงสุด 40 FPS และงานวิดีโอ บันทึกคมชัดระดับ 6K RAW External 
พร้อมเลนส์เทเลโฟโต้ ‘RF135mm f/1.8L IS USM’ และแฟลช ‘Speedlite EL-5’


กรุงเทพฯ 21 พฤศจิกายน 2565 - แคนนอน (Canon) เดินเกมรุกตลาดกล้องถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอระดับมืออาชีพ ยกขบวนผลิตภัณฑ์ใหม่เปิดตัวครบเซ็ตทั้งกล้องมิเรอร์เลสฟูลเฟรมประสิทธิภาพสูงรุ่นล่าสุด แคนนอน EOS R6 Mark II พร้อมเลนส์เทเลโฟโต้ RF135mm f/1.8L IS USM และแฟลช Speedlite EL-5

แคนนอน EOS R6 Mark II ไม่ได้เป็นแค่รุ่นอัปเกรดต่อจาก EOS R6 แต่มาเพื่อเป็นกล้องตัวเปลี่ยนเกม “6amechangeR” ตัวจริงที่จะสร้างนิยามใหม่ให้กับกล้องถ่ายภาพในตระกูล “Series 6” ด้วยการเสริมฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอแบบมืออาชีพมากมายเพื่อยกประสิทธิภาพพื้นฐานใหม่ทั้งหมด รวมถึงการยกระดับระบบตรวจจับและติดตามวัตถุในการถ่ายภาพนิ่งให้ดีเยี่ยมขั้นสุด ซึ่งทำให้ Canon EOS R6 Mark II คือขุมพลังใหม่แห่งการถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวระดับมืออาชีพตัวจริง

ด้วยฟีเจอร์เด่นอย่างการบันทึกวิดีโอภายนอก[1] แบบไฟล์ RAW ความละเอียดสูง 6K 60P, ฟอร์แมต Canon Log 3, การบันทึก High Frame Rate Full HD 180P และ Focus Breathing Correction (การแก้ไขการเสียทางยาวโฟกัสของเลนส์ซูมเมื่อปรับระยะโฟกัส) ทำให้ EOS R6 Mark II ตอบโจทย์ความต้องการของบรรดาผู้ผลิตงานวิดีโอและนักสร้างคอนเทนต์ที่ต้องการขีดความสามารถของการถ่ายวิดีโอขั้นสูงในบอดี้กล้องมิเรอร์เลสขนาดกะทัดรัดได้อย่างตรงจุด ไม่เพียงเท่านั้น EOS R6 Mark II ยังฉลาดในการถ่ายภาพนิ่งด้วยความสามารถในการถ่ายต่อเนื่อง 40fps พร้อม AF/AE Tracking มอบประสิทธิภาพการถ่ายภาพนิ่งที่เร็วที่สุดในระบบกล้อง EOS เสริมด้วยฟังก์ชันใหม่และการอัปเกรดความสามารถอื่น ๆ ที่ช่วยให้ EOS R6 Mark II ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว พร้อมมอบคุณภาพของภาพที่ยอดเยี่ยม

image

“เมื่อการผลิตคอนเทนต์วิดีโอกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เราจึงนำเสนอ Canon EOS R6 Mark II เพื่อเป็นสุดยอดกล้องที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งงานวิดีโอและภาพนิ่งที่สมบูรณ์แบบ” นางสาวเนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนซูมเมอร์อิมเมจจิ้งอินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าว  “ความมุ่งมั่นตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คือคำมั่นสัญญาของเราในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเพื่อผู้บริโภค”

EOS R6 Mark II: ตอบโจทย์ช่างภาพวิดีโอสายโปรดักชั่นระดับมืออาชีพ

เพื่อการผลิตวิดีโอฟุตเทจที่ยังคงคุณภาพสูงแม้ต้องผ่านกระบวนการตัดต่อหลายขั้นตอน EOS R6 Mark II จึงมีความสามารถในการบันทึกวิดีโอภายนอก1 ที่คุณภาพระดับ 6K RAW ผ่านทางสาย HDMI โดยจะบันทึกข้อมูล Proxy Data แบบ Full HD ลงสลอตการ์ด SD ไปพร้อมกันเพื่อให้ง่ายต่อการตัดต่อ ส่วนการบันทึกภายใน กล้องสามารถบันทึกวิดีโอคุณภาพสูง 4K 60P ที่ทำ oversampled มาจากไฟล์ 6K และบันทึกวิดีโอเฟรมเรทสูงสุดที่ Full HD 180P รวมถึงบันทึกเป็นไฟล์วิดีโอแบบ Canon Log 3 และ HDR PQ และด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพเรื่องความร้อน EOS R6 Mark II จึงสามารถบันทึกวิดีโอที่ 4K 30P ได้อย่างต่อเนื่องแบบไม่จำกัด

เพิ่มรูปแบบหน้าจอทางเลือก Quick Control ใหม่ที่มีรูปแบบการแสดงการปรับตั้งค่าต่างๆ เหมือนกับกล้องตระกูล Cinema EOS มีอินเตอร์เฟซที่คุ้นเคยเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ EOS R6 Mark II ร่วมกับระบบ Cinema EOS ได้อย่างสะดวกสบาย

วิดีโอ: ระเบิดพลังแห่งการสร้างสรรค์ได้อย่างราบรื่น

EOS R6 Mark II เป็นกล้อง Canon EOS รุ่นแรกที่มีฟังก์ชัน Focus Breathing Correction เพื่อลดความผันผวนของมุมมองในระหว่างการเปลี่ยนจุดโฟกัส ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของฟีเจอร์อื่น ๆ อย่างการปรับความเร็วออโต้โฟกัส ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมมุมมองระหว่างการเปลี่ยนจุดโฟกัสในเฟรมภาพได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์ของผลงาน

1_%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99%20EOS%20R6%20Mark%20II%20

นอกจากการแสดงลายแถบเตือนพื้นที่รับแสงมากเกินไปแบบ Zebra Display ที่มีอยู่แล้ว กล้อง EOS R6 Mark II ยังมี False Colour Function ที่ใช้ในระบบ Cinema EOS เพื่อช่วยให้ปรับรูรับแสงได้ง่ายยิ่งขึ้นแม้ในสภาวะการถ่ายทำที่ยุ่งยาก

นอกจากนี้ ยังนำเสนออีก 2 ฟีเจอร์เด่นที่เพิ่มเข้ามาในกล้อง EOS ฟูลเฟรมรุ่นนี้ ได้แก่
  • Pre-Recording for Movies: การบันทึกภาพเคลื่อนไหวขณะอยู่ในโหมดสแตนด์บาย ฟีเจอร์หลักของกล้องตระกูล Cinema EOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเก็บโมเมนต์ประทับใจได้ล่วงหน้า 5 วินาทีก่อนกดปุ่มบันทึก
  • Hybrid Auto Mode: บันทึกวิดีโอ 2-4 วินาทีก่อนปล่อยชัตเตอร์ในขณะบันทึกภาพนิ่งและรวมเป็นคลิปภาพเคลื่อนไหวให้โดยอัตโนมัติ ช่วยเตรียมคอนเทนต์วิดีโอที่พร้อมใช้งานเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของวันนี้
วิดีโอ: สตรีมวิดีโอคุณภาพสูงด้วยโปรโตคอล UVC/UAC

EOS R6 Mark II รองรับมาตรฐานโปรโตคอล UVC (USB Video Class) และ UAC (USB Audio Class) สามารถถ่ายวิดีโอคุณภาพสูง Full HD 30p โดยส่งภาพและเสียงเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งแบบ Windows/Mac OS ได้ทันทีแบบเรียลไทม์ จึงเหมาะกับการไลฟ์สตรีมมิ่ง การประชุมทางไกล และการถ่ายทำบันทึกวิดีโอลงบนคอมพิวเตอร์ ทำให้สตรีมเมอร์และนักสร้างคอนเทนต์ในวันนี้สามารถใช้กล้องฟูลเฟรมและเลนส์คุณภาพสูงถ่ายทำได้อย่างง่าย ๆ เพียงเสียบปลั๊กแล้วใช้งานได้ทันที ทั้งกับระบบปฏิบัติการ Windows และ Mac OS

ถ่ายภาพต่อเนื่องสูงสุดถึง 40 เฟรมต่อวินาที พร้อม AF/AE Tracking: ยกระดับประสิทธิภาพการตรวจจับและติดตามวัตถุ

ด้วยความสามารถในการถ่ายภาพต่อเนื่อง 40 เฟรมต่อวินาที ในโหมดอิเล็กทรอนิกส์ชัตเตอร์ ทำให้ EOS R6 Mark II เป็นกล้อง EOS รุ่นแรกที่ถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องพร้อมระบบตรวจติดตามวัตถุ AF/AE ได้มากกว่า 30 เฟรมต่อวินาที และสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้สูงสุด 12 เฟรมต่อวินาทีในโหมดแมคคานิกชัตเตอร์

EOS R6 Mark II ยังเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจจับวัตถุได้มากขึ้น ทั้งม้า รถไฟ และเครื่องบิน ผ่านอัลกิริธึมการเรียนรู้เชิงลึก ผู้ใช้ยังสามารถเลือกตั้งค่าให้ตรวจจับที่ดวงตาข้างซ้ายหรือขวาของตัวแบบด้วยระบบโฟกัส Eye Detection AF ทั้งโหมดภาพนิ่งและวิดีโอ นอกจากนี้ ยังมอบความยืดหยุ่นและความสะดวกสบายให้ผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นด้วยโหมด Auto Subject Detection รูปแบบใหม่ ซึ่งกล้องจะเป็นตัวช่วยในการอ่านค่าตัวแบบและเรื่องระบบโฟกัสอัตโนมัติที่เหมาะสมในการถ่ายภาพ โดยสามารถตรวจจับวัตถุได้มากกว่า 1 ชนิดในเฟรมเดียวกัน

ฟีเจอร์การตรวจจับวัตถุได้รับการเสริมประสิทธิภาพด้วยแอปพลิเคชันอื่น ๆ บนพื้นฐานเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก ซึ่งทำให้กล้องสามารถติดตามวัตถุได้อย่างเหนียวแน่นแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของท่าทาง องศาการเอียง หรือระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม ซึ่งฟีเจอร์นี้ใช้ได้ทั้งกับสัตว์ ยานพาหนะ และวัตถุอื่น ๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการโดยครอบคลุมทั้งโหมดภาพนิ่งและวิดีโอ

ฟีเจอร์เพิ่มเติมใหม่ที่ช่วยเสริมการตอบสนองที่ฉับไวของกล้อง ได้แก่
  • AI Focus AF mode: ตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุและช่วยสลับระหว่างโหมด One-Shot AF และ Servo AF โดยอัตโนมัติ จึงตอบสนองต่อวัตถุที่เคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น
  • Digital teleconverter: เพิ่มทางยาวโฟกัสเป็น 2 เท่า หรือ 4 เท่าได้เพียงกดปุ่มเดียว จึงตอบสนองได้เร็วกว่าต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในระหว่างการถ่ายเทเลโฟโต้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเลนส์[2]
คุณภาพการถ่ายภาพนิ่ง: สัมผัสเซ็นเซอร์ความละเอียด 24.2 ล้านพิกเซล พัฒนาใหม่ล่าสุด

เซ็นเซอร์รับภาพแบบฟูลเฟรมความละเอียด 24.2 ล้านพิกเซล ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ใน EOS R6 Mark II มอบความละเอียดสูงกว่ารุ่น EOS R6 ซึ่งมีความละเอียดที่ 20.1 ล้านพิกเซล มาพร้อมหน่วยประมวลผลความคมชัดรูปแบบใหม่ที่เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะมีความคมชัดสูงกว่ากล้อง EOS 5D Mark IV ที่มีความละเอียดภาพ 30.4 ล้านพิกเซล โดยยังปรับค่าความไวแสง (ISO) ของกล้องได้สูงถึง 102,400

EOS R6 Mark II ยังมาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัวกล้อง (In-Body IS) และการบันทึกวิดีโอไฟล์ HDR PQ HEIF โดยเพิ่มโหมด “Moving Subject Priority” HDR เพื่อช่วยลดความยุ่งยากในการถ่าย HDR ในขณะที่วัตถุเคลื่อนไหว ผ่านการใช้เอฟเฟ็กต์อย่างสมบูรณ์ในช็อตเดียว

การเชื่อมต่อที่ดีขึ้น: รองรับสัญญาณ 5GHz ให้เชื่อมต่อสมาร์ตโฟนง่ายขึ้น

EOS R6 Mark II สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายกับอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยรองรับทั้งสัญญาณ 5GHz และ 2.4GHz เพิ่มขีดความสามารถการเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนด้วยฟังก์ชันต่าง ๆ ในแอป Camera Connect เช่น การโอนไฟล์ข้อมูลแบบอัตโนมัติและการกดชัตเตอร์ซึ่งในปัจจุบันต้องทำโดยการต่อสาย USB ทั้งยังรองรับการโอนไฟล์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ FTP ทั้งแบบต่อสายและไร้สาย

ออกแบบใหม่เพื่อมอบความทนทานและประสิทธิภาพทรงพลังขั้นสุด

EOS R6 Mark II มีช่องใส่การ์ด SD 2 ช่อง เพื่อเพิ่มความอุ่นใจในการทำงาน บอดี้กล้องยังถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อฝุ่นและกันลื่นเพื่อตอบโจทย์การถ่ายทำกลางแจ้ง มอบประสิทธิภาพการใช้งานที่ยาวนานโดยสามารถถ่ายภาพนิ่งได้ถึง 760 ภาพต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้งเมื่อใช้แบตเตอรี่ LP-E6NH

เลนส์ RF135mm f/1.8L IS USM: จับภาพฉับไว ละลายโบเก้ฉากหลังสวยขึ้น และป้องกันภาพสั่นไหวสูงถึง 8 สต็อป

เลนส์ไพรม์เม้าท์ RF 135 มม. ระดับมืออาชีพรุ่นแรกจากแคนนอน เป็นเลนส์ที่มีระยะทางยาวโฟกัส  135 มม. เพียงรุ่นเดียวในตลาดปัจจุบันที่มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัลสูงสุดถึง 5.5 สต็อป[3] ผสมผสานการทำงานอีกขั้นเมื่อใช้งานร่วมกับกล้องที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวในตัวกล้องจะสามารถป้องกันภาพสั่นไหวได้สูงถึง 8 สต็อป และแม้จะมาพร้อมฟังก์ชันใหม่มากมาย แต่เลนส์ไพรม์รุ่นนี้กลับมีน้ำหนักเพียง 935 กรัม ซึ่งเบากว่าเลนส์บางรุ่นใน

สเปกเดียวกันและยังไม่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวด้วย

นอกจากนี้ ยังมีขนาดรูรับแสงกว้างที่ f/1.8 เมื่อเปรียบเทียบกับเลนส์ตระกูล EF ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งไม่เพียงให้โบเก้ที่สวยงามเพื่อแยกวัตถุออกจากฉากหลังเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ให้เร็วขึ้นได้ในสภาวะแสงน้อยที่มีความท้าทายสูง

มอเตอร์ขับเคลื่อนการทำงานระบบออโต้โฟกัสยังได้รับการเสริมประสิทธิภาพด้วย USM (Ultrasonic Motor) ที่ทำงานได้รวดเร็วและลื่นไหล ทั้งยังรองรับฟีเจอร์ Focus Breathing Correction ทำให้เป็นเลนส์ที่เหมาะมากสำหรับงานผลิตวิดีโอ ปุ่มฟังก์ชัน 2 ปุ่ม แบบใหม่ที่ติดตั้งบนกระบอกเลนส์ยังช่วยเพิ่มอิสระให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าควบคุมการทำงานของหลากหลายรูปแบบ เช่น ปรับเป็นปุ่มล็อคโฟกัส เพื่อตอบสนองการใช้งานได้ทุกรูปแบบที่ต้องการ

ด้วยความที่เป็นเลนส์ระดับลักซ์ชัวรี ทำให้ RF135mm f/1.8L IS USM ถูกพัฒนาและออกแบบในการทำงานระดับมืออาชีพ มอบความทนทานสูง ทนทานต่อฝุ่นและละอองน้ำ ทนต่อแรงกระแทกสูง และเคลือบผิวด้วยฟลูออรีน เพื่อเพิ่มความมั่นใจสูงสุดแม้ต้องใช้ถ่ายทำในสภาวะที่หฤโหด

แฟลช Speedlite EL-5: ตอบโจทย์ทุกงานหนักด้วยประสิทธิภาพระดับมืออาชีพเมื่อใช้งานร่วมกับกล้องตระกูล EOS R Series[4]

Speedlite EL-5 ใช้ข้อต่อแบบ 15-pin Multi-Function Shoe รุ่นใหม่ที่มาในกล้อง EOS R รุ่นปัจจุบัน สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับกล้องได้อย่างรวดเร็วและเสถียรมากขึ้น จึงช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานและความน่าเชื่อถือในภาพรวม ทั้งยังมาพร้อมฟังก์ชันใหม่มากมาย อาทิ การควบคุมแบบไร้สายผ่านสมาร์ตโฟน

พัฒนาเพื่อการทำงานที่ฉับไว: รอบการทำงานเร็วเพียง 0.1 วินาที ใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 95 ครั้งเมื่อเปิดความสว่างสูงสุด


Speedlite EL-5 มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และราคาย่อมเยากว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Speedlite EL-1 โดยใช้แบตเตอรี่ LP-EL lithium-ion ความจุสูงแบบเดียวกันแต่ให้ประสิทธิภาพการใช้งานดีกว่า ด้วยรอบการทำงานราว 0.1-1.2 วินาที[5] และสามารถเปิดแสงแฟลชต่อเนื่องได้ประมาณ 95 ครั้งหรือมากกว่า[6] เมื่อใช้ความสว่างสูงสุด (GN 60[7])

นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ไมโครแฟลชระดับต่ำที่ 1/1024 ในสถานการณ์ที่ต้องควบคุมการจัดแสงที่ละเอียดอ่อน

เสริมประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ: เสริมฟังก์ชันไร้สายเพื่อเพิ่มอิสระแห่งการสร้างสรรค์

Speedlite EL-5 เสริมฟังก์ชันแฟลชไร้สายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการควบคุมแบบไร้สายระยะไกลทั้งตัวรับและตัวส่งสัญญาณ โดยสามารถควบคุมการตั้งค่าแฟลชได้จากสมาร์ตโฟนผ่านแอป Camera Connect โดยมาพร้อมคุณสมบัติทนทานต่อฝุ่นและกันลื่นเช่นเดียวกับบอดี้ของ EOS R5 เพื่อการันตีการจับถือที่มั่นคง
####

[1] เมื่อใช้กับ Atomos Ninja V+ ในฟอร์แมต ProRes RAW 6K 59.94p 10-bit หรือ ProRes RAW 3.7K 59.94p 12-bit โดยไม่สามารถบันทึกภาพยนตร์ไฟล์ RAW ในกล้องได้ และไม่สามารถสร้างภาพยนตร์ไฟล์ RAW จากในกล้องได้
[2] คุณภาพของภาพจะถูกลดลงเนื่องจากภาพจะถูกขยายใหญ่ขึ้นเมื่อบันทึก รองรับการถ่ายภาพไฟล์ JPEG เท่านั้น โดยกรอบออโต้โฟกัสจะถูกกำหนดไว้ที่จุดกึ่งกลาง
[3] ข้อมูลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565
[4] ข้อมูลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยแฟลช Speedlite EL-5 รอบรับการใช้งานกับกล้อง EOS R6 Mark II รวมถึง EOS R3, EOS R7 และ EOS R10 ผ่านการอัปเดตเฟิร์มแวร์
[5] พิจารณาตามเกณฑ์มาตรฐานของแคนนอนเมื่อใช้แบตเตอรี่ LP-EL ใหม่ที่ชาร์จไฟเต็ม
[6] มุมการส่องสว่าง 35mm จำนวนการเปิดแฟลชต่อเนื่องสูงถึงความเข้มแสงแฟลชระดับ 2 เมื่อใช้แบตเตอรี่ LP-EL ใหม่ที่ชาร์จไฟเต็ม พิจารณาตามเกณฑ์มาตรฐานของแคนนอนเมื่อใช้แฟลชแบบแมนนวล
[7] ที่ ISO 100 โดยมีมุมการส่องสว่าง 200 มม.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad