รู้ทันภัยคุกคามจาก ‘โรคมะเร็งศีรษะและลำคอ’ กับแนวทางการรักษาแบบใหม่ เพราะ‘มะเร็งไม่เท่ากับตาย’ - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

รู้ทันภัยคุกคามจาก ‘โรคมะเร็งศีรษะและลำคอ’ กับแนวทางการรักษาแบบใหม่ เพราะ‘มะเร็งไม่เท่ากับตาย’

รู้ทันภัยคุกคามจาก ‘โรคมะเร็งศีรษะและลำคอ’  กับแนวทางการรักษาแบบใหม่ เพราะ‘มะเร็งไม่เท่ากับตาย’
จากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข “มะเร็ง” เป็นโรคที่ผู้ป่วยไทยมีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวมากที่สุด แต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกว่า 70,000 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 8 รายเลยทีเดียว แม้คนไทยหลายคนอาจยังไม่รู้จักกับ “มะเร็งศีรษะและลำคอ” มากนัก แต่ความจริงแล้ว ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นพฤติกรรมในชีวิตประจำวันต่างๆ อย่างเช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือการติดนิสัยเคี้ยวหมากพลู ก็อาจก่อให้เกิดมะเร็งชนิดนี้ได้เช่นกัน จากสถิติพบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอรายใหม่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลทั้งรัฐบาลและเอกชนเพิ่มขึ้นทุกปี ในแต่ละปีมีจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดนี้ สูงถึง 10,000 คนโดยประมาณ
ทั้งนี้ มะเร็งศีรษะและลำคอ สามารถเป็นได้มากถึง 30 ตำแหน่งบนอวัยวะต่างๆ บริเวณศีรษะและลำคอ บริเวณที่พบบ่อย 3 อันดับแรก คือ 1.มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) เกิดขึ้นได้บริเวณริมฝีปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม เหงือก พื้นปาก และเพดานปาก โดย 90% ของผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้เป็นผู้สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งพบมากกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ถึง 15 เท่า ปัจจัยเสี่ยงรองลงมาคือ การระคายเคืองเรื้อรังจากฟันที่แหลมคม อาการหลักที่มักพบคือ เป็นตุ่มก้อนในปากที่โตขึ้นเรื่อยๆ แผลเรื้อรังบริเวณปาก ฟันโยกหรือฟันหลุดเพราะเนื้องอก มีก้อนโตขึ้นบริเวณคอการเกิดฝ้าขาว ฝ้าแดงเรื้อรัง ทั้งนี้ จากสถิติมะเร็งไทยปี 2558 พบว่าในเพศชายเป็นมะเร็งชนิดนี้มากเป็นอันดับ 6 และพบในเพศหญิงเป็นอันดับ 10
2.มะเร็งกล่องเสียง (Laryngeal cancer)พบมากที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุ เฉลี่ยอายุประมาณ 60-70 ปี ปัจจัยเสี่ยงเกิดจากการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาการที่สังเกตได้คือ เสียงเริ่มเปลี่ยนไป มีเสียงแหบเรื้อรัง กลืนอาหารลำบาก สำลักอาหาร หรือมีอาการเจ็บขณะกลืน มีเสียงดังขณะหายใจ หายใจลำบาก ไอเรื้อรังมีเสมหะปนเลือด และมีก้อนบริเวณคอหรือคอบวม
3.มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngealcancer) พบมากที่สุดในกลุ่มคนเชื้อชาติจีน และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อาการที่สังเกตได้คือหูอื้อหรือการได้ยินลดลง ส่วนมากมักเป็นที่หูเพียงข้างเดียว คัดแน่นจมูก มีเลือดกำเดาไหล ปวดศีรษะชาบริเวณหน้า มองเห็นภาพซ้อน และมีก้อนบริเวณคอเนื่องจากมะเร็งแพร่กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง
นอกจากนี้ มะเร็งชนิดนี้ยังสามารถเกิดได้ในบริเวณอื่นๆ อีก ได้แก่ มะเร็งช่องลำคอ (Throat cancer) โดยอาการที่พบบ่อยคือ มีก้อนที่ลำคอ เสียงแหบเรื้อรัง หรือกลืนอาหารลำบาก มะเร็งต่อมน้ำลาย (Salivary gland cancer) อาการหลักที่พบคือ มีก้อนหรือบวมที่กระดูกบริเวณขากรรไกร ภายในช่องปาก หรือลำคอชาบริเวณใบหน้า และรูปใบหน้าที่เริ่มบิดเบี้ยว และมะเร็งจมูกและไซนัส (Nose and sinus cancer) อาการจะคล้ายกับการเป็นหวัดหรือไซนัสอักเสบแต่มักจะเป็นเรื้อรัง จมูกอุดตันเรื้อรังเพียงด้านเดียว เลือดกำเดาไหล การรับรู้กลิ่นลดลง และมีน้ำมูกไหลจากจมูกหรือไหลลงคอ ทั้งนี้ ผู้ป่วยเพศชายจะพบมะเร็งชนิดนี้มากที่สุดบริเวณช่องปาก ช่องจมูก และกล่องเสียง ส่วนเพศหญิงมักพบที่บริเวณต่อมไทรอยด์ และช่องปาก ตามลำดับไป

นายแพทย์ไนยรัฐ ประสงค์สุข อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ให้ข้อมูลว่า ในปัจจุบันมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีทาง
การแพทย์ที่ทันสมัยมากขึ้น ได้แก่ เครื่องมือหรือเทคนิคการผ่าตัด เครื่องมือทางรังสีรักษา และรวมถึงยาที่ใช้รักษาด้วย ซึ่งไม่ได้มีจำกัดเพียงแค่ยาเคมีบำบัดหรือการทำเคมีบำบัด (Chemotherapy) เท่านั้น แต่ยังมีการรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (TargetedTherapy) และการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) อีกด้วย โดยรูปแบบของการรักษานั้นจะขึ้นกับลักษณะเฉพาะของคนไข้ในแต่ละราย และจากองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอ มีอัตราการรอดชีวิตที่ยาวนานขึ้น ลดอัตราการกลับเป็นซ้ำ มีภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาน้อยลง และส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกันไม่ให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ ดังนั้นผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งศีรษะและลำคอ เช่นสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว และหมั่นคอยสังเกตตัวเอง หากเริ่มมีอาการที่ผิดปกติ แนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ดูแลผู้ป่วยรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อรับการวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมากที่สุดต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad