เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมิน 2Q64 ใครได้ไปต่อ - ข่าวเด่นวันนี้ | Today Highlight News

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2564

เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมิน 2Q64 ใครได้ไปต่อ

เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมิน 2Q64 ใครได้ไปต่อ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเด่นในช่วง 1Q64 กว่า +8% ตอบรับความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและโลก ผสานกับพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีนที่เริ่มมีการฉีดมากยิ่งขึ้น กระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ดี การกลับมาแพร่ระบาดของ COVID-19 และการล็อกดาวน์ในบางประเทศอีกครั้งในช่วงต้นปี ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเด่นในช่วง 1Q64 กว่า +8% ตอบรับความคาดหวังเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและโลก ผสานกับพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีนที่เริ่มมีการฉีดมากยิ่งขึ้น กระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ดี การกลับมาแพร่ระบาดของ COVID-19 และการล็อกดาวน์ในบางประเทศอีกครั้งในช่วงต้นปี ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

ส่วนในช่วง 2Q64 คาดตลาดยังคงได้แรงหนุนจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดประเทศในช่วงถัดไป ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนภาคบริการของไทยฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนดัชนีมากยิ่งขึ้น โดยสำหรับช่วง 2Q64 กลยุทธ์การลงทุนจะเป็นอย่างไร “ใครจะได้ไปต่อ”

2Q64 Quarterly Top Picks

BBL เป้าหมาย 160 บาท : คาดกำไรปีนี้และปีหน้า +61%,+16% จากค่าใช้จ่ายดำเนินงานและต้นทุนสำรองลดลง สำรองหนี้สูญจะลดลงเป็น 2.2หมื่นล้านบาทในปี 64 (จาก 3.1-3.2 หมื่นล้านบาท ในปี 62-63) อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาที่ 50-52% ในปี 64 จาก 55% ในปี 63 เนื่องจากฐานที่สูงจากค่าใช้จ่ายในการรวมธุรกิจกับธนาคาร Permata และคาดว่า BBL จะรายงานกำไรที่เติบโตแข็งแกร่งที่สุดในปีนี้และยังเป็นหุ้นที่ราคายัง laggard ในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ แนะนำซื้อ TP 160 บาท

IRPC เป้าหมาย 4.5 บาท : คาดส่วนต่าง PP + ABS มีแนวโน้มดีขึ้นต่อในช่วง 2Q64 จากความต้องการที่อยู่ในระดับสูง และกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามาค่อนข้างจำกัด ค่าการกลั่นมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางภาวะอุปสงศ์เร่งขึ้น ปัจจุบัน Valuation ไม่แพง โดยราคาหุ้นซื้อขายเพียง PBV 1 เท่า มีโอกาสแกว่งตัวขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในธีม cyclical play

MAJOR เป้าหมาย 24.5 บาท : 1Q64 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนจะพลิกเป็นกำไรใน 2Q64 จากการเปิดเมือง หนังเข้ามากขึ้น เช่น Fast 9, Mortal Kombat, Quiet Place 2 และหนังไทยหลายเรื่อง รายได้โฆษณาฟื้นตัวตามหนังและไฮซีซั่น อีกทั้งมีการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายมาตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ กำไรเติบโตดียิ่งขึ้นใน 2H64 จากหนังหลายเรื่องทั้งที่เลื่อนจากปีก่อนและของปีนี้

PLANB เป้าหมาย 9.75 บาท : มี 3 ความพร้อมเพื่อรองรับการฟื้นตัวของสื่อนอกบ้านได้ดีที่สุดในปีนี้ (1) ลูกค้า top 5 พร้อมฟื้น และแบรนด์ Technology สัดส่วนสูง 18% จาก 4% ปี 62 (2) pent-up demand รอเข้าไตรมาส 3 จาก“โอลิมปิก 2020” , “ไทยลีก 21/22” (3) สื่อใหม่ใน 7-eleven 1000 สาขาแรกรับรู้เต็มปี ไตรมาส 1Q64 เป็นจุดต่ำสุดของปี 2564 เป็นฐานของการฟื้นตัว +229% YoY

SPALI เป้าหมาย 24.5 บาท : ปี 64 คาดรายได้และการเปิดตัวโครงการใหม่สูงเป็นประวัติการณ์ กำไรปี 64 คาดเติบโต 38%ดีที่สุดในอุตสาหกรรม โดยรายได้/กำไรรายไตรมาสจะขยายตัวดีต่อเนื่องจาก Backlog ที่รอรับรู้รายได้อยู่ในระดับสูง คาดมีอัพไซด์จากกำไรพิเศษจากการขายสำนักงานให้กับกองทรัสต์ SPALIRT ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ และมาตราการอสังหาฯใหม่จากรัฐบาล

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน 2Q64 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาด SET แกว่งผันผวนในกรอบ 1450-1650 จุด ในจังหวะตลาดย่อตัวแนะเป็นโอกาสในการทยอยสะสม เพื่อรอปัจจัยหนุนใหม่เป็นแรงขับเคลื่อนตลาดฟื้นตัวขึ้นในช่วงถัดไป แนะทยอยสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แนวโน้มกำไรฟื้นตัวเด่น ผสานกับธีมการลงทุนที่น่าสนใจ นำโดย 1) เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เน้นหุ้นในกลุ่มวัฎจักร เช่น ธนาคาร (BBL) และ พลังงาน (IRPC) 2) การทยอยเปิดเมือง และ Pent-up Demand ช่วยหนุนกำไรบริษัททะเบียนเร่งตัวขึ้น (PLANB, MAJOR, SPALI)

คงเป้าหมายสิ้นปีที่ 1600 จุด จากฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในระดับต่ำมากในปี 2563 เนื่องจากได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID-19 ผสานกับการฟื้นตัวที่ค่อยๆดีขึ้น ขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินและการคลังทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาการเชิงบวกของการฉีดวัคซีนที่มากยิ่งขึ้น หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว ดังนั้นเราจึงประเมินการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ SET ปี 2564 เติบโต +91%YoY ขึ้นสู่ระดับ 82 บาทต่อหุ้น ซึ่งหากพิจารณา ระดับ PE Ratio ที่เหมาะสม โดยอิงค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปี + 1.0 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (+1.0SD) ที่ 19.5 เท่า จะได้เป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 1,600 จุด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Bottom Ad